หัวข้อ: การเมืองเรื่องพระพุทธรูป ยุคแรกสร้างกรุงเทพฯ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2015, 09:08:47 pm (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2015/02/pra01190258p1.jpg) วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์ ท่าเตียน) แหล่งรวบรวมพระพุทธรูปนับพันองค์ (ภาพจาก กรุงเทพฯ 2489-2539. กรมศิลปากร, 2539.) การเมืองเรื่องพระพุทธรูป ยุคแรกสร้างกรุงเทพฯ คอลัมน์ สุวรรณภูมิในอาเซียน โดย วิราวรรณ นฤปิติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปย่อจากบทความวิชาการในวารสารดำรงวิชาการ ของ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับ 13/2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2557) การสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับเมืองหลวงใหม่ที่กรุงเทพฯ นอกจากพระอารามแล้ว (เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) สิ่งที่ขาดไม่ได้คือพระพุทธรูป จากหลักฐานพบว่าราชสำนักรัชกาลที่ 1 มีการเลือกเก็บรวบรวมพระพุทธรูป ทั้งจากกรุงเก่า และจากหัวเมืองทางเหนือ ลงมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ ได้แก่ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง อาทิพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศากยมุนี ราชสำนักรัชกาลที่ 1 ใช้วัตถุทางศาสนาเป็นเครื่องมือในการแสดงตัวตนของพระมหากษัตริย์ในอุดมคติ และทำให้เมืองหลวงที่สถาปนาขึ้นใหม่มีความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ ควบคู่ไปกับอำนาจทางการเมือง :96: :96: :96: :96: ในอีกแง่มุมหนึ่งคือเป็นการสร้างความชอบธรรมของพระองค์ในทางอ้อม เนื่องด้วยปูมหลังการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับฐานอำนาจเดิมที่สืบเชื้อสายจากกษัตริย์อยุธยาอยู่เลย ดังนั้นการแสดงออกถึงการเป็นกษัตริย์ผู้มีบุญบารมีจึงจำเป็นอย่างยิ่ง การอัญเชิญพระพุทธรูปไม่ได้เพิ่งเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 หากแต่พบว่ามีความสำคัญ ทั้งจุดประสงค์ มิติเวลา และวิธีการ ที่หลักฐานจำนวนหนึ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีคิดของคนในราชสำนักรัชกาลที่ 1 ว่ามีความแตกต่างไปจากเดิม นั่นคือการเก็บรวบรวมพระพุทธรูปนับพันองค์มายังวัดพระเชตุพนฯ เมื่อ พ.ศ. 2337 ใช้เวลานาน และมีการจัดการที่เป็นระบบด้วยการ "ทำบัญชีตัวเลข" จดบันทึกขนาด และจำนวนพระพุทธรูปแต่ละองค์โดยละเอียด จากหลักฐานพบว่า รวบรวมพระพุทธรูปมามากกว่าสองพันองค์ และให้ความสำคัญกับการคัดเลือกขนาด เพื่อการจัดวางในระเบียงพระอุโบสถที่เพิ่งสร้างเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ ask1 ans1 ask1 ans1 ask1 ans1 พระพุทธรูปนับพันๆ องค์ พระราชพงศาวดารและจารึกวัดพระเชตุพน กล่าวถึงการรวบรวมพระพุทธรูปเมื่อ พ.ศ. 2337 ว่าเป็นการกระทำเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไป ด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระพุทธรูปที่ปรักหักพังจากหัวเมืองเหนือ คือสุโขทัย พิจิตร สวรรคโลก ลพบุรี และอยุธยา ลงมาปฏิสังขรณ์ จากนั้นก็ให้ประดิษฐานไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ จำนวน 1,248 องค์ บางส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายให้เชื้อพระวงศ์ หรือข้าราชการคนอื่นๆ นำไปบูชา ประดิษฐานไว้ตามพระอารามต่างๆ จึงชะลอ "พระศรีสรรเพชญ์" พระพุทธรูปยืน สูง 8 วา หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มด้วยทองคำ เดิมอยู่ที่วิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงเก่า เข้ามาวางบนรากพระเจดีย์แล้วก่อปิดทับ จากนั้นเชิญพระพุทธรูปที่เตรียมไว้มาปฏิสังขรณ์ แล้วประดิษฐานในสถานที่ต่างๆ ที่เตรียมไว้ :96: :96: :96: :96: การคัดเลือกพระพุทธรูปเพื่อการจัดวางในระเบียงพระอุโบสถนั้น จากหลักฐานชี้ให้เห็นว่าเน้นที่ขนาดพระพุทธรูปเป็นสำคัญ เนื่องจากพระพุทธรูปที่มาจาก หัวเมืองต่างๆ มีพุทธลักษณะที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสกุลช่างท้องถิ่น เมื่อมาประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ จึงเห็นได้ว่ามีรูปแบบที่คละเคล้ากัน ที่ระเบียงพระมหาเจดีย์ทั้งสามด้านก็มีการประดิษฐานพระพุทธรูปยืน เป็นปางประทานอภัย และปางห้ามญาติ เน้นที่ขนาดเหมือนกับที่ระเบียงพระอุโบสถ (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2015/02/pra01190258p2.jpg) (ซ้าย) กระแสพระบรมราชโองการ รัชกาลที่ 1 ให้ไปรวบรวมพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือ (ที่มา : หอสมุดแห่งชาติ) (ขวาบน) พระพุทธรูปยืนที่จัดวางบนฐานเดียวกัน แต่มีพุทธลักษณะแตกต่างกัน ที่ระเบียงพระมหาเจดีย์ วัดพระเชตุพนฯ (ขวาล่าง) พระพุทธรูปในระเบียงพระอุโบสถชั้นนอก วัดพระเชตุพนฯ มีพุทธลักษณะแตกต่างกั เบื้องหลังการเก็บรวบรวมพระพุทธรูป หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงเป็นกระแสพระราชโองการของรัชกาลที่1 ที่สั่งให้ไปรวบรวมพระพุทธรูปเมื่อ พ.ศ. 2337 ตามพระราชศรัทธา และพระราชกุศลในฐานะอัครศาสนูปถัมภก การรวบรวมพระพุทธรูปทั้งหลายนี้ ก็เพื่อทำนุบำรุง และปฏิสังขรณ์วัตถุที่ปรักหักพัง ทิ้งร้าง เกรงจะเกิดอันตรายแก่พระพุทธรูปเหล่านั้น จึงได้ให้ข้าราชการไปอัญเชิญพระพุทธรูปลงมายังวัดพระเชตุพนฯ แสดงให้เห็นวิธีคิดของชนชั้นสูงที่เปลี่ยนไปว่า "ไม่ได้เทียบองค์พระมหากษัตริย์เสมือนเป็นสมมุติเทพแล้ว หากแต่เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ต้องการทำนุบำรุงศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปเท่านั้น" ซ้ำยังไม่ได้อ้างถึงโชคลาง หรืออำนาจเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด อย่างที่จารีตทางวรรณกรรมราชสำนักในอดีตเคยทำมา :25: :25: :25: :25: การอุปถัมภ์ศาสนาดังที่ปรากฏในข้อความจึงเน้นไปที่พระราชประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ตระหนักถึงอันตรายต่อพระพุทธรูปที่ผู้คนสร้างไว้แต่ก่อน ด้วยการแสดงว่าพระองค์ทรงมีจิตสำนึกที่จะสงเคราะห์เอาพระพุทธรูปที่หักพังนั้นมาไว้ในอุปถัมภ์ จากนั้นคือต้องการให้วัตถุทำหน้าที่สืบทอดศาสนาต่อไป ความคิดเรื่องพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีบุญบารมีสูงสุด เป็นอุดมคติที่สืบทอดกันมาในชนชั้นกษัตริย์ อย่างกษัตริย์สุโขทัย และกษัตริย์อยุธยาก็คือผู้ที่สั่งสมบุญบารมีเอาไว้มาก และจะสั่งสมบุญบารมีให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อเตรียมจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ด้วยการประพฤติธรรม สั่งสอนธรรม และบำรุงพระศาสนา อุดมคติแบบนี้ฝังรากลึกอยู่ในอาณาจักรที่ทำกิจกรรมทางการเมืองควบคู่ไปกับศาสนาเป็นสำคัญ รวมถึงสมัยสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นี้ด้วย st12 st12 st12 st12 แม้ว่าจะมีอุดมการณ์แบบเดียวกัน แต่การแสดงออก หรือการสร้างภาพแสดงตัวตนของพระมหากษัตริย์แต่ละองค์ก็แตกต่างกันไป เช่น หลังจากที่พระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็สร้างภาพการเป็นพุทธราชา และอัครศาสนูปถัมภกด้วยเช่นกัน ดังที่ปรากฏในใบบอกในสมัยกรุงธนบุรี ว่ามีการเชิญพระแก้วมรกต และพระบางมาประดิษฐานไว้ที่กรุงธนบุรี ก่อนจะถูกย้ายไปยังพระราชวังหลวงใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับที่ใช้อ้างอิงมากที่สุดอย่าง พันจันทานุมาศ (เจิม) ซึ่งถูกชำระขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 ข้อความในพระราชพงศาวดารหลายครั้งอ้างว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้แสดงตนเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาด้วยการบริจาคทาน และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดจนเกินไปในช่วงท้ายรัชกาล ต่างจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ที่เน้นเรื่องการปฏิสังขรณ์พระอาราม หรือพระพุทธรูป รวมไปถึงการปฏิรูปสถาบันศาสนาด้วยการแต่งตั้งตำแหน่งพระราชาคณะ ที่สนับสนุนพระองค์ แทนที่จะอธิบายสิทธิธรรมในการครองอำนาจด้วยเรื่องสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับราชวงศ์เดิมจากอยุธยา (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2015/02/pra01190258p3.jpg) บัญชีพระพุทธรูป (บางส่วน) ที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ไปอาราธนามาจากหัวเมืองเหนือ (ที่มา : หอสมุดแห่งชาติ) ศาสนา-การเมือง ของกรุงเทพฯ กับกรุงอังวะ ช่วงต้นรัชกาลที่ 1 ราชสำนักอยู่ในฐานะของผู้ปกครองที่พยายามจะสถาปนาอำนาจเหนือหัวเมืองที่เคยอยู่ใต้อำนาจของอยุธยาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นขณะเดียวกันก็รวมเอาล้านนา ล้านช้าง และกัมพูชาเข้ามาเป็นประเทศราชด้วยพร้อมทั้งพยายามจะรวมหัวเมืองมอญ ได้แก่ ทวาย มะริด ตะนาวศรี ผลก็คือก่อให้เกิดระบบการเมืองแบบจักรวรรดิขึ้น รัชกาลที่ 1 จึงต้องสร้างความชอบธรรมให้กับระบบการเมืองที่พระองค์สร้างขึ้นใหม่นี้ ผู้ปกครองเมืองในจักรวรรดิทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธดังนั้นการเอามาตรฐานทางศีลธรรม และราชธรรมมาสร้างความชอบธรรมแก่ระบบการเมืองที่มีศูนย์กลางที่กรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้ผลดีที่สุดในความคิดของคนในราชสำนัก สิ่งสำคัญคือการทำให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา และแสดงให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีตามอุดมคติ ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในราชธานี หัวเมือง และเมืองประเทศราช เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ได้มีการโจมตีกษัตริย์อังวะว่าเป็นฝ่ายอธรรม ควบคู่กันไปกับการสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์ความรุ่งเรืองของศาสนา st11 st11 st11 st11 ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ชำระสมัยรัชกาลที่ 1 ได้โจมตีกษัตริย์อังวะ ว่าเป็นผู้ทำลายเมืองอยุธยา และเน้นไปที่การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสิน แล้วจบลงที่หายนะตกแก่ราชวงศ์บุเรงนอง การสร้างภาพให้รัชกาลที่ 1 อยู่เหนือกว่ากษัตริย์อังวะนั้น มีความหมายสำคัญต่อสถานะกษัตริย์รัตนโกสินทร์อย่างมากในสายตาเมืองประเทศราช จนกระทั่งปี พ.ศ. 2336 กรุงอังวะได้ขอเป็นไมตรีผ่านมาทางเจ้าเมืองเมาะตะมะ ใจความของศุภอักษรก็เน้นไปที่ความเมตตาของกษัตริย์ผู้มีบุญด้วยเช่นกัน ask1 ans1 ask1 ans1 ask1 ans1 พุทธจักร อาณาจักร สรุปแล้วราชสำนักรัชกาลที่ 1 ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพแสดงตัวตนของการเป็นผู้นำด้านพุทธจักร ควบคู่ไปกับอาณาจักร เพราะเมื่อพ้นสมัยรัชกาลที่ 1 แล้ว ไม่พบว่ามีการเก็บรวบรวมพระพุทธรูปจำนวนมากเท่าครั้งนี้อีกเลย ถือว่าความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้รัชกาลต่อมามีความรู้สึกมั่นคงมากเพียงพอ จึงไม่มีการกระทำที่เป็นการซ้ำรอยเดิมอีก จะมีก็แต่เน้นที่การซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัตถุที่ร่วงโรยไปตามเวลาเท่านั้น ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424342539 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424342539) หัวข้อ: Re: การเมืองเรื่องพระพุทธรูป ยุคแรกสร้างกรุงเทพฯ เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2015, 01:47:53 am สาธุ สาธุ..ผู้นำเสนอ หัวข้อ: Re: การเมืองเรื่องพระพุทธรูป ยุคแรกสร้างกรุงเทพฯ เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2015, 11:06:03 am เรื่องนี้ มีความหมาย หลายนัยยะด้วยกัน
การที่ในหลวง ร.1 ทำการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยการโยกย้าย พระพุทธรูปที่ได้รักการชำรุด จากศึกสงครามเข้ามาซ่อมแซมและส่งกลับ ยกเว้นพระพุทธรูปที่ ไม่ควรส่งกลับเนื่องด้วย ส่งกลับไปก็จะรักษายังไม่ได้ ดังนั้นจึงมีพระพุทธรูป ที่คงเก็บไว้เป็นบางส่วนแต่ก็ไม่มาก 1248 องค์ เก็บไว้ไม่กี่องค์หรอก แต่ที่เก็บไว้เพราะว่า เป็นของคู่บ้านคู่เมือง การที่ในหลวงกระทำเช่นนั้นก็เพราะว่า การดูแลเยียวยาจิตใจของคนที่สูญเสีย ก็ต้องพุทธธรรมเท่านั้น เพราะครูอาจารย์ของพระองค์ แนะนำไว้อย่างนั้น ดังนั้นสิ่งที่เป็นสัญญลักษณ์ทางด้านจิตวิญญาณของคนไทย ที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นพวกใหญ่ นั้น ก็คือ พระพุทธรูป ในสมัยปลายศึกสิ้นอยุธยา ทางพม่า ได้ทำลายพระพุทธรูป เนื่องด้วยพระพุทธรูป ในสมัยนั้นนิยมหล่อด้วยทองคำกันเป็นส่วนใหญ่ การขนทองคำกลับไปนั้นเป็นสิ่งที่พม่าทำไว้ด้วย ถ้าไปดูที่ประเทศพม่านั้น บรรดาทองคำที่นำมาสร้างเจดีย์ทองคำสวย ๆ อย่าง เจดีย์ชเวดากอง เป็นต้นนั้น ลองย้อนประวัติศาสตร์ไปดูว่าใช้ทองคำจำนวนเท่าใดที่จะสร้าง ดังนั้นเมืองขึ้นทั้งหลาย จึงต้องบรรณาการทองคำไว้ ทั้่ง ๆ ที่ประเทศพม่า ก็เป็นเมื่องที่นับถือพระพุทธศาสนาเช่นกัน แต่การฆ่าพระสงฆ์ในสมัยการศึกก็มีจำนวนมิใช่น้อย เลย ในขณะนั้น ไม่ใช่เป็นพระแล้วจะรอดจากสงคราม นะสมัยก่อนนั้นพระก็ถูกฆ่าด้วยเช่นกัน ดังนั้นแม้แต่ครูอาจารย์ อย่าง หลวงปู่สุก ก็ยังต้องหนีนะ อยู่ไม่ได้ มาพักพำนักรอการฟื้นคืนประเทศในสมัยนั้น ก็กลุ่มพระเจ้าตากนี่แหละพวกแรกที่ตียึดคืน ในสมัยนั้น ประวัติศาสตร์สอนอะไร ? เราก็จะเข้าใจ ได้ ด้วยประวัติศาสตร์ นั้นเอง เจริญพร ;) หัวข้อ: Re: การเมืองเรื่องพระพุทธรูป ยุคแรกสร้างกรุงเทพฯ เริ่มหัวข้อโดย: kindman ที่ มีนาคม 05, 2015, 11:08:42 am เรื่องนี้ พึ่งรู้ นะเนี่ย ว่า มีการซ่อม พระพุทธรูปกันมากขนาดนั้นในสมัย ร. 1
:49: thk56 |