หัวข้อ: 'รู้เท่าทันสื่อ' กับ อินเทอร์เน็ต เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ เมษายน 23, 2015, 08:20:23 pm (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/10423304_1572631553015135_6897368372213753162_n.jpg?oh=1f1d4476e609412dd82002baa1265beb&oe=55D9DE57&__gda__=1436178798_cf10dd0fcfcd8a68e5f9a9d194665be5) 'รู้เท่าทันสื่อ' กับ อินเทอร์เน็ต เรื่องที่ “ไม่รู้จะเผยแพร่ทำไม” เพราะไม่รู้จะหวังผลอะไรก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างเมื่อก่อนสงกรานต์ ที่มีดาราหนุ่ม “มาริโอ เมาเร่อ” จับใบดำใบแดงเกณฑ์ทหาร ก็มีคนทำตัวเป็น “ผู้รู้” มีปรากฏการณ์หลากหลายรูปแบบ เกิดขึ้นในยุค “การสื่อสารเสรี” ที่มีอินเทอร์เน็ต อย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ผู้ที่มีข้อมูลข่าวสารมาก คือผู้ที่มี “พลังอำนาจมาก” ในการต่อรอง หรือการ “สร้างความเชื่อถือ” ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งบางครั้งเนื้อหาที่เผยแพร่ออกมา อาจเป็นเนื้อหาลวง ทั้งเพื่อหวังผลอะไรก็ตาม หรือไม่หวังผลด้วยซ้ำ เรื่องที่ “ไม่รู้จะเผยแพร่ทำไม” เพราะไม่รู้จะหวังผลอะไรก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างเมื่อก่อนสงกรานต์ ที่มีดาราหนุ่ม “มาริโอ เมาเร่อ” จับใบดำใบแดงเกณฑ์ทหาร ก็มีคนทำตัวเป็น “ผู้รู้” ชิงเผยแพร่ข่าวสารให้สะพัดออกมาทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คก่อนว่า พระเอกหนุ่มจับได้ใบแดง ทั้งที่ในขณะที่ข่าวเผยแพร่นั้น มาริโอยังไม่จับใบอะไรทั้งนั้น :49: :49: :49: :49: ส่วนข่าวที่เผยแพร่เพื่อหวังผลก็มีให้เห็นอยู่มาก หลายคนก็คงเคยเห็นกันมาบ้างจุดมุ่งหมายของการเผยแพร่เนื้อหาพวกนี้ในอินเทอร์เน็ต บางครั้งก็อาจเป็นการตั้งใจ “สร้างความรู้” ทั้งที่ไม่ได้รู้จริงและไม่ได้มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ แต่เผยแพร่ออกไปเพราะเห็นว่าน่าสนใจ ตัวอย่างการหวังดีตั้งใจสร้างความรู้ทั้งที่ไม่ได้รู้จริง แค่เห็นอะไรมาก็แชร์ สมัยก่อนก็พวกฟอร์เวิร์ดเมลล์ต่างๆ ที่เมื่อรับรู้มาแล้วก็รีบแชร์ เช่นพวกความรู้ทางการแพทย์อย่างทุเรียนน้ำ หรือโซดามะนาว มีผลในการรักษามะเร็งได้ คนเผยแพร่บางครั้งไม่ได้สนใจหรอกว่าเป็นการสร้างความรู้ที่ไม่ถูกต้อง แค่เห็น “เขาแชร์กันเยอะ” แต่บางครั้งก็อาจเป็นการตั้งใจเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง เช่น ผลทางการเมือง ที่ต้องการโจมตีกลุ่มตรงข้ามของตัวเอง สร้างภาพที่ดีให้กับกลุ่มการเมืองที่ตรงกับอุดมการณ์ของตัวเอง ตลอดจนมีการ “สร้างหลักฐานเท็จ” บางอย่างเพื่อโจมตีกัน โดยอาศัยว่า ถ้าเป็นภาพ ถ้ามีสตอรี่กำกับหน่อยก็น่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144: อันนี้คงไม่ไปยกตัวอย่างให้ระคายเคืองกลุ่มความเชื่อ หรือกลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองกลุ่มไหน แต่คิดว่า หลายคนคงเคยเห็นประเภทเอาภาพที่ไหนก็ไม่รู้มามั่วบรรยายเพื่อหวังผลให้เกิดอคติกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในภาวะที่สังคมไทยยังมีความแตกแยกทางความคิดการเมืองเป็นสองกลุ่มเช่นทุกวันนี้ ที่กล่าวมา สะท้อนให้เห็นได้ว่า การ “คิดก่อนเชื่อ” , “คิดก่อนโพสต์” , “คิดก่อนแชร์” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในยุคการสื่อสารเสรีนี้ เพราะบางครั้ง เราอาจตกเป็นเครื่องมือของใคร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเกิดความรู้ความเข้าใจที่ผิด ไปจนถึงสร้างความรู้ความเข้าใจที่ผิดให้ยิ่งแพร่สะพัดออกไปในสังคมได้ แต่ชาวเน็ตจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคนรุ่นค่อนไปทางเก่า ที่เพิ่งเล่นอินเทอร์เน็ตไม่นาน (โดยเฉพาะใช้อินเทอร์เน็ตในการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความรักความชอบทางการเมือง) ก็มีโอกาสที่จะถูกหลอกจากเนื้อหาบางประเภทได้ง่ายกว่าคนรุ่นใหม่ๆ หรือวัยรุ่นที่ใช้อินเทอร์เน็ตจนแทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีพ :96: :96: :96: :96: “เขาว่า” ผู้ใหญ่ที่เกิดในช่วงปี 1950-1970 พวกนี้เป็นพวกที่ไม่ได้เติบโตมากับการสื่อสารแบบในปัจจุบัน พวกนี้คุ้นชินกับการรับสารทางเดียวผ่านทางสื่อประเภทวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ซึ่งเนื้อหาสารเหล่านั้นผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาแล้วโดยกอง บก. หรือที่เรียกว่า ผ่าน “นายประตูข่าวสาร” มาแล้ว คนรุ่นก่อนค่อนข้างจะเชื่อถือว่า สื่อนำเสนอสิ่งที่เป็นความจริง ทำให้เมื่อมาเจอสื่อใหม่ ที่เพียงแค่อ้างแหล่งข้อมูลที่ดูว่า มีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง หรือใช้วิธีทำภาพข่าวตัดต่อ ทำคลิปข่าวลวง และมีการอธิบายเนื้อหาในภาพหรือคลิปเหล่านั้น คนรุ่นเก่าๆ ก็พร้อมจะเชื่อได้โดยง่าย เพราะความไม่ทันต่อเทคโนโลยี ไม่ทันต่อการตัดต่อ เมื่อเชื่อ ก็พร้อมจะแพร่กระจายข่าวสารนั้นต่อไป อาจไปพร้อมกับการแสดงความเห็นอย่างดุเดือด หรือมีการขยายประเด็นให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นมาอีก เพราะเนื้อหานั้นไปตรงกับอคติ รัก ชัง ชอบของตัวเองเข้า และบางครั้งคนรุ่นเก่าเมื่อรับสารแล้ว ก็มีเวลาและกำลังทรัพย์ในการออกมามี “แอคชั่น” กับสิ่งที่ตัวเองได้รับข่าวสารมา :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: สังเกตดูคนมีอายุ ที่มีกำลังทรัพย์ มีเวลาว่าง เริ่มมีการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตในการสื่อสารกันมากขึ้น และบางครั้งก็ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารบางเรื่องที่ตัวเองสนใจ จากกลุ่มที่มีความรัก ชอบ ชัง หรือเชื่อในสิ่งเดียวกัน เมื่อมีทั้งกำลังทรัพย์ และมีเวลา ก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว อย่างที่เราเห็นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุคหลังๆ จะเห็น “ลุง ป้า ย่า ยาย” หรือคนวัยกลางคน ตลอดจนแก่ๆ ออกมาเคลื่อนไหวกินอยู่กับม็อบมากขึ้น ขณะที่คนรุ่นใหม่จะใช้เวลาเคลื่อนไหวทางการเมืองน้อยกว่าใช้เวลาในการทำมาหากิน หรือไปทำกิจกรรมอื่นที่ตัวเองชื่นชอบ สนใจ ที่กล่าวมา คือ ปรากฏการณ์ที่ทำให้การศึกษาเรื่อง “การรู้เท่าทันสื่อ” (media literacy) เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนทุกเพศทุกวัยในสังคม ไม่ใช่เพียงแค่ว่า เมื่อพูดถึงการรู้เท่าทันสื่อ เราจะมามุ่งเฉพาะสอดส่องดูแลให้เยาวชน เพราะเนื้อหาพวกโกหกหลอกลวงเพื่อหวังผลอะไรก็ตาม หรือไม่หวังผล คงไม่ได้มุ่งไปเฉพาะแค่ที่เยาวชน :29: :29: :29: :29: เราจะสื่อสารรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันสื่ออย่างไร เป็นสิ่งที่ถ้าบอกว่า นำไปเป็นหนึ่งในหลักสูตรการเรียนการสอนในปัจจุบัน มันก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่สำหรับคนระดับวัยกลางคนแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะไปศึกษาเช่นนั้น และบางคนก็เพิ่งหัดเล่นอินเทอร์เน็ต ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการสอดส่องดูแลของคนในครอบครัว และการ “สร้างความคิด” เสียใหม่ว่า อินเทอร์เน็ตไม่ใช่อะไรที่เจอแล้วจะเชื่อได้ทันที ต้องมีการ check & balance คือการหาข้อมูลอื่นๆ เพื่อประกอบด้วย ตลอดจนดูประวัติผู้โพสต์ ประวัติเวบไซด์ หรือหน้าเพจที่โพสต์เรื่องว่า มีความน่าเชื่อถือเพียงใด มีอุดมการณ์โอนเอียงไปในด้านใดบ้าง เข้ามาประกอบก่อนจะเชื่อ พึงระลึกไว้ว่า การหลอกลวงในอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่พอเป็นคนมีอายุ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” แล้วจะกลั่นกรองได้ถูกต้องเสมอ...พึงสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไว้ในยุคการสื่อสารเสรี. คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่ โดย “บุหงาตันหยง” http://www.dailynews.co.th/article/316187 (http://www.dailynews.co.th/article/316187) |