หัวข้อ: สอบถามวิธีฝึกสมาธิ แบบมีพลังจิต เริ่มหัวข้อโดย: จ่าวิโรจน์ ที่ ธันวาคม 20, 2009, 01:00:11 am :D วันนี้ผมไปที่ปทุม เห็นเพื่อนทหารด้วยกัน ไปสักยันต์กันเพียบ ประกอบกับสถานี ทีวี B ไปถ่ายทำด้วย
ซึ่งหลังจากสักเสร็จก็มีการใช้ มีด คัตเตอร์กีดแขน ตัดใบหู ดาบฟันหลัง เห็นกับตามีแต่รอยกีดแดง แต่ไม่เข้่า การทำอย่างนี้ได้ ต้องใช้พลังจิตถึงขั้นไหนครับ ต้องฝึกสมาธิแบบใดครับ ;D หัวข้อ: ผู้สักมีภูมิธรรมขั้นสูงในระดับอย่างน้อยทุติยฌาน และกระทำในอุปจารสมาธิ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 25, 2009, 04:16:16 pm การสักยันต์
การสักยันต์เป็น กรรมวิธีกำกับสติของคนไทยมาแต่โบราณ แต่ร่วงโรยเสื่อมความนิยมและใกล้จะดับสูญไปตามสมัยนิยม คนไทยแต่โบราณนั้นนับถือพระพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่กลับไม่รู้หนังสือ บางคนก็ความจำไม่ดี และเชื่อว่าพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จะคุ้มครองป้องกันตนให้พ้นจากอันตรายทั้งปวงได้ (http://gotoknow.org/file/sasinanda/preview/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C.jpg) ดังนั้นจึงแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการสักยันต์ไว้ กับตัว วัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็คือเพื่อให้มีสติรู้ว่ามีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อยู่กับตัว หากจะเป็นตายร้ายดีประการใดก็ยังอุ่นใจว่ายังอยู่กับพระ แม้หากจะถึงตายก็ย่อมตายดี ดังนั้นบรรดาทหารที่จะออกไปทำศึกสงครามจึงรักที่จะสักยันต์ไว้ กับตัว เพราะในยามสู้รบกระทำศึกต่อกันนั้นความมุ่งมั่นก็จะอยู่ที่การสู้รบ ไม่อาจรำลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัยได้ จะได้ทำการสู้รบโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง และการสักยันต์ใน สมัยโบราณก็ต้องกระทำโดยผู้ที่รู้หนังสือเป็นอย่างดี ซึ่งยุคนั้นภาษาไทยยังใช้ภาษาเขียนแบบภาษาขอม และผู้ที่รู้หนังสือเช่นนี้ก็คือพระสงฆ์ โดยเฉพาะสมภารเจ้าวัดต่าง ๆ และเป็นธรรมดาของพระที่มีความเมตตาอาทรต่อพุทธศาสนิกชน ดังนั้นแม้วัตถุประสงค์แท้คือความต้องการให้มีพระรัตนตรัยติดอยู่กับตัว แต่พอสักยันต์เข้า จริงก็มักจะมีการตั้งจิตให้มั่นคง เพ่งเอาความปลอดภัยให้บังเกิด เพราะเหตุที่พระสงฆ์ในยุคนั้นมีความบริสุทธิ์ในศีล มีกำลังของสมาธิที่แก่กล้า มีจิตที่มั่นคง จึงมีพลังที่สามารถแผ่ไปปกป้องคุ้มครองผู้อื่นด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยได้ ดังนั้นจำนวนมากของการสักยันต์จึงไม่เพียงแต่เป็นแค่ให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรับ หากได้แฝงฝังความขลังของกำลังจิตไว้ในการสักยันต์นั้น ด้วย จึงมีอานิสงส์เป็นอย่างเดียวกันกับอานิสงส์ของพระปริตร คือ ปกป้องคุ้มครองป้องกันและกำจัดสรรพอุบาทว์และสรรพภัยทั้งหลายได้มากบ้างน้อย บ้างตามควรแก่กรณี ผู้ที่เห็นและได้รับอานิสงส์เช่นนั้นก็จะกล่าวเล่าขานกันออกไป จนในที่สุดก็เลื่องชื่อลือชาว่าการสักยันต์นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มีผลทางเมตตามหานิยมหรืออยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาด จึงทำให้การสักยันต์ยิ่ง แพร่หลายขยายตัวออกไป ทั้งผู้คนที่อยู่ในฝ่ายราชการและชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เมื่อความนิยมมีมากขึ้นการขวนขวายหาพระหรืออาจารย์เก่ง ๆ ก็ยิ่งกว้างขวางออกไป เรื่องการสักยันต์ก็ยิ่งโด่งดังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นไปอีก การสักยันต์ในสมัยก่อนนั้นจะมีส่วนประกอบ 4 ส่วน คือ พระหรืออาจารย์ที่ทรงวิทยาคม ส่วนหนึ่ง หมึกซึ่งใช้ในการสักยันต์ อย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้ไม่ใช้หมึกดังที่ใช้กันในปัจจุบัน แต่จะใช้ดีปลาช่อนแล้วฝนด้วยว่านนาคราชหรือว่านสบู่เลือด และหินอาถรรพ์หรือข้าวเม่าอาถรรพ์จำพวกหนึ่ง ซึ่งจำพวกนี้จะมีผลในทางอยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาด หรืออีกจำพวกหนึ่งจะใช้น้ำมันมนต์แทนหมึกสักอย่างเดียว หรือใช้น้ำมันอาถรรพ์ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปลาพะยูน น้ำมันเสือ น้ำมันช้าง หรือน้ำมันจันทน์ซึ่งจะมีผลในทางเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์อีกจำพวกหนึ่ง นั่นเป็นสองส่วนสำคัญแล้ว ส่วนที่สามคือ อักขระวิธี ซึ่งเป็นอักษรขอมโบราณสักเป็นบทพระคาถาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรือบทอิติปิโสแปดทิศ หรือหัวใจศีล หรือบทคาถาเต่าเลือน เป็นต้น และส่วนที่สี่ก็คือส่วนประกอบจะเป็นรูปภาพ เสือบ้าง พญานาคบ้าง นกคุ่มบ้าง ในส่วนนี้ยังมีส่วนรูปยันต์ไม่ว่าจะเป็นรูปยันต์มหาอุตม์ ยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์มะอะอุ ยันต์ธาตุทั้งสี่ เป็นต้น และยังรวมถึงรูปพระภัควัมบดี รูปอุนนาโลม รูปหัวกระดาน รูปท้ายกระดาน เป็นต้น นั่นเป็นสี่ส่วนสำคัญของการสักยันต์ นอกจากนี้ก็ยังมีบทพระคาถาในการสักตัวอักขระ ในการสักรูปยันต์ หรือในการสักรูปพระ รวมทั้งบทตรึงพระคาถาอาคมทั้งหลาย แต่ทั้งหมดนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาได้ก็ด้วยพลังจิต ที่ผู้สักมีภูมิธรรมขั้นสูงในระดับอย่างน้อยทุติยฌาน หรือถ้าจะเลิศก็ต้องอยู่ในระดับจตุตถฌาน และกระทำในอุปจารสมาธิ ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องราวของการสักยันต์โดย กรรมวิธีที่ว่านี้ได้แพร่ขยายไปในทุกภาคของประเทศไทย และในหมู่ชายชาติอาชาไนยทั้งปวง แต่หลังเสร็จสงครามแล้วความนิยมก็ออกจะเสื่อมถอยลงไป ยิ่งเมื่อได้รับวัฒนธรรมตะวันตกก็ยิ่งเห็นว่าการสักยันต์เป็น เรื่องของพวกนักเลงหัวไม้ ประกอบทั้งบรรดาผู้มีฝีไม้ลายมือทั้งหลายเมื่อว่างศึกแล้วจำนวนหนึ่งก็ ประพฤติตัวเป็นโจรผู้ร้าย ทำให้อาชญากรจำนวนมากมีภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสาธารณะว่ามีรอยสัก ดังนั้นพอนานวันเข้าใครเห็นใครมีรอยสักกับ ตัวก็จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจ หนักเข้าก็มองว่าเป็นพวกอาชญากรไปเลย จะไปสมัครทำงานที่ไหนก็ถูกเขารังเกียจ ยิ่งทำให้การสักยันต์ค่อย ๆ เสื่อมสลายสูญหายไป กรรมวิธีและกระบวนการในการสักยันต์ก็ ค่อย ๆ สูญหายไป แต่ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเวียดนามพวกทหารฝรั่งเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น แล้วเกิดติดอกติดใจในรอยสักและแสวงหาอาจารย์สักยันต์ เมื่อสักแล้วกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนก็เกิดการแตกตื่นฮือฮาเป็นเรื่อง แปลกเป็นเรื่องประหลาด แล้วระบาดหนักเข้าไปอีกเพราะบรรดาดาราหรือนักร้องฝรั่งที่มีชื่อเสียงโด่ง ดังกระทั่งพวกฮิปปี้ก็พออกพอใจในรอยสักนั้น พากันเข้ามาแสวงหาในประเทศไทย จึงเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นในประเทศไทยคือ การสักยันต์ แต่เพราะเหตุที่กรรมวิธีและกระบวนการสักเลือนหายไปมากแล้ว และเพราะการสักมีความเจ็บ มีความปวดแสบปวดร้อนเป็นอันมาก บางคนก็ทนไม่ได้ จึงทำให้เกิดกรรมวิธีใหม่คือการวาดรูปแทนการสักยันต์ ดังนั้นการสักยันต์ใน ยุคใหม่จึงมีอยู่สองแบบ คือ แบบที่สักกับตัวแต่ใช้หมึกเป็นพื้น แบบนี้สักกันทั้งเป็นรูปยันต์บ้าง เป็นรูปภาพต่างๆ ตามแต่จะนิยม หรือตามแต่ใจชอบบ้าง ส่วนอีกแบบหนึ่งก็คือการเขียนด้วยหมึกแทนการสัก (หรือเรียกว่า เฮนน่า) แต่เป็นหมึกที่ติดทนนาน อยู่ได้ถึง 15 วัน แบบนี้จะเป็นนักเขียนอาสาสมัครซึ่งบ้างก็เป็นชาวบ้านธรรมดา บ้างก็จบช่างเขียน การสักยันต์ทั้งสองแบบเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ ดาราฮอลลีวูดคนหนึ่งเกิดติดอกติดใจในรอยสักและเดินทางมาสักยันต์ในประเทศไทย โดยพาพรรคพวกเข้ามาสักยันต์อีกหลายคน ถ้าหากสักยันต์แล้ว มีความรู้สึกสำนึกในบาปบุญคุณโทษ มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาปเพราะมียันต์อันประกอบด้วยคุณของพระรัตนตรัย อยู่กับตัวแล้ว คอยกำกับสติตัวเองไม่ให้เผอเรอ ไม่ให้หลงก่อกรรมทำชั่ว ไม่ให้กินสินบาทคาดสินบนเช่นนั้นแล้ว การสักยันต์นั้นก็จะเป็นมงคลแก่ตัว และจะมีความสวัสดีในที่ทั้งปวง ใครจะตั้งตัวเป็นอาจารย์สักยันต์ก็เหมือนกัน จะเป็นบาปอย่างมหันต์ถ้าหากว่าทำให้คนหลงเชื่อว่าการสักยันต์นั้น จะเป็นเครื่องป้องกันความผิด หรือฮึกเหิมกล้าที่จะทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวบาปและกฎหมาย แต่จะได้รับผลบุญอนันต์ถ้าหากทำให้คนเชื่อได้ว่าเมื่อได้สักยันต์แล้วจะต้องมีสติมั่นคง มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป และมุ่งบำเพ็ญแต่ความดี เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนอื่น ที่มา http://www.tlcthai.com/webboard/ (http://www.tlcthai.com/webboard/) คุณวิโรจน์ คงเข้าใจนะครับ คนสักต้องได้ฌาน(อัปนาสมาธิ) อย่างน้อยต้องได้ฌานที่ ๒ แต่ขณะสักต้องใช้อุปจารสมาธิ(สมาธิเฉียดฌาน) การฝึกให้ได้ฌาน ต้องมาหาอาจารย์สนธยาที่วัดนะครับ หัวข้อ: Re: สอบถามวิธีฝึกสมาธิ แบบมีพลังจิต เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ ตุลาคม 21, 2010, 01:12:31 am :25:
|