สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

น.ส.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายคนไทยเพื่อส่งเสริมเติมเต็มพุทธบริษัท 4 เปิดเผยความคืบหน้าในการยื่นหนังสือต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติห้ามบวชภิกษุณีในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา ว่าก่อนหน้านี้ทางเครือข่ายฯได้ยื่นหนังสือไปที่ สปช.เพื่อให้พิจารณามติดังกล่าวของ มส.แต่เรื่องเงียบหลายเดือน จึงได้ร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)

โดยคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้บันทึกรายงานผลการรับฟังเพื่อเสนอให้คณะกรรมการ กสม.พิจารณามติของ มส.ที่ดูแล้วมิชอบ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 37 ที่บัญญัติไว้ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน" ดังนั้น มติของ มส.ไม่มีอำนาจในการกีดกันไม่ให้ผู้หญิงบวช โดยผู้หญิงบวชภิกษุณีได้ และไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาของ กสม.

 :25: :25: :25: :25:

 "ปัจจุบันประชาชนเริ่มคุ้นเคยกับภิกษุณีมากขึ้น อิงจากจำนวนของผู้ที่บวชภิกษุณี หรือสามเณรีเพิ่มขึ้นทุกปี และการปรากฏตัวของภิกษุณีในการบรรยายธรรม หรือแม้กระทั่งการที่ชาวบ้านนิมนต์ภิกษุณีไปสวดมนต์ที่บ้าน นี่คือตัวชี้วัดว่าสังคมไทยเริ่มให้การยอมรับภิกษุณีกว้างขึ้นแล้ว และที่ผ่านมายังมองไม่เห็นความขัดแย้งของพระภิกษุสงฆ์ที่มีต่อภิกษุณี แต่เรื่องที่ทำให้องค์กรสตรี และเครือข่ายฯออกมาเรียกร้อง เพื่อต้องการให้ผู้หญิงมีสิทธิ และเสรีภาพด้านการบวชในพระพุทธศาสนา เท่าเทียมกับผู้ชายเท่านั้น ทั้งนี้ เครือข่ายฯจะเดินหน้ายื่นหนังสือเพื่อสิทธิ และเสรีภาพ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ หากยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ อาจยื่นหนังสือต่อศาลปกครองต่อไป" น.ส.สุธาดากล่าว

 นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กสม. กล่าวว่า เมื่อ มส.มีมติห้ามไม่ให้ผู้หญิงบวชภิกษุณีในไทย ส่งผลให้มีคำสั่งจากเจ้าอาวาสวัดทางภาคใต้ สั่งขับไล่ภิกษุณี และสามเณรีออกจากพื้นที่วัด โดยยึดมติ มส.ดังกล่าว ทั้งๆ ที่ภิกษุณีเหล่านั้นปฏิบัติงานโดยการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในวัดดังกล่าวมาโดยตลอด มติของ มส.จึงถือว่าไม่สอดคล้องต่อหลักการทางด้านสิทธิมนุษยชนในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่ง มส.ไม่ควรเลือกปฏิบัติ ปิดกั้น และทำลาย โดยใช้อำนาจสั่งการแบบนี้ อีกส่วนหนึ่ง มส.มีหนังสือไปที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ห้ามผู้ที่จะดำเนินการบวชภิกษุณี หรือพระอุปัชฌาย์ เข้าประเทศไทย ถือเป็นการใช้อำนาจที่เกินเลยในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของชาวต่างชาติ ที่แสดงถึงความไม่เหมาะสม และไม่สมควรอย่างยิ่ง

 :96: :96: :96: :96:

 นพ.นิรันดร์กล่าวอีกว่า เมื่อคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองฯ ได้ตรวจสอบมติ มส.ดังกล่าว เห็นว่าการห้ามไม่ให้ภิกษุณี หรือสามเณรีบวช โดยให้เหตุผลว่าภิกษุณี หรือสามเณรีได้หมดสิ้นไปจากศาสนาพุทธในประเทศไทยแล้ว ถือเป็นแค่ความเชื่ออย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท แต่ความเป็นจริงทางโลก สังคมยอมรับการบวชภิกษุณีที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เพราะท่านทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ต่อศาสนา และสังคม อีกด้านหนึ่งสิทธิในการบวชในพระพุทธศาสนาของผู้หญิง เป็นเสรีภาพของบุคคลที่ทำได้ โดยเฉพาะการบวชที่เข้ามาเผยแผ่ และปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนาแล้ว ยิ่งไม่ควรปิดกั้น เพราะเป็นเรื่องสร้างสรรค์สังคม

มส.ควรหันไปแก้ไขปัญหาของพระสงฆ์ที่มีมากมาย มากกว่ามาทำลายสิ่งที่ดีงาม ฉะนั้น กสม.จึงต้องมีมติให้ มส.หรือเจ้าอาวาสที่ขับไล่ภิกษุณี มีคำสั่งที่ชัดเจน โดยไม่ไปละเมิดสิทธิของภิกษุณี และสามเณรีที่ปฏิบัติศาสนกิจในวัดต่างๆ ที่สำคัญไม่มีกฎหมายข้อไหนในไทยห้ามผู้หญิงบวช สิ่งที่ มส.กล่าวอ้างเป็นเพียงความเชื่อของนิกายเถรวาทเท่านั้น ที่ไม่ควรไปสกัดกั้นไม่ให้นิกายอื่นบวชภิกษุณี เพราะอาจกลายเป็นสงครามศาสนาได้

 "ขณะนี้กำลังทำรายงานการตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ เพื่อยื่นกับ กสม.หลังจากรายงานเสร็จ โดยจะส่งรายงานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มส.และกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนวัดที่ดำเนินการละเมิดสิทธิของภิกษุณี เพื่อชี้แจงในเรื่องสิทธิ และเสรีภาพ คาดว่าใช้เวลาในการเขียนรายงานไม่นาน เพราะ กสม.ประชุมทุกสัปดาห์" นพ.นิรันดร์กล่าว

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1430181203 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1430181203)

ไม่เห็นจะต้อง อึ้ง มส. สั่งลงมาแล้ว ก็คือ ไปตั้งสำนัก นอก ออกไปจาก เถรวาท เมืองไทย ก็มีสำนัก ภิกษุณี อยู่หลายแห่ง แล้ว นี่คะ ก็ไปสุ่มสร้าง ทำสำนักเอาเองเลย ก็ได้นี่คะ เขาไล่ออกจากวัด หลัก ไม่ได้ ไล่สึก สักหน่อย

  :58: :25: :49: