หัวข้อ: พระมหาไพรวัลย์เขียน "อนุสติจากการมรณภาพของหลวงพ่อคูณ" เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤษภาคม 18, 2015, 08:31:47 am (http://www.madchima.net/forum/gallery/30_27_04_15_10_56_11.jpeg) พระมหาไพรวัลย์เขียน "อนุสติจากการมรณภาพของหลวงพ่อคูณ" พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง เผยแพร่บทความ "อนุสติจากการมรณภาพของหลวงพ่อคูณ" ในเฟซบุ๊ก ถึงการจากไปของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ แห่งวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา มีใจความว่า การมรณภาพของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ หรือเรียกอย่างพระมีสมณศักดิ์ก็คือ พระเทพวิทยาคม แห่งวัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา ได้นำความอาลัยมาสู่ชาวพุทธทั้งที่เป็นชาวบ้านและพระภิกษุสามเณรอยู่ไม่น้อย แม้เราจะทราบกันดีว่า ในมุมมองของศาสนาพุทธ ความตาย ถือเป็นเรื่องปกติสามัญที่สุดซึ่งมนุษย์ทุกคนจะต้องพบเจอเข้าจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง โดยเฉพาะก็สำหรับนักบวชอย่างพระด้วยแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็คือการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้ทุกเมื่อนั่นเอง แต่การจากไปของหลวงพ่อคูณในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่าของพระพุทธศาสนาไปอีกท่านหนึ่ง ย่อมเป็นสิ่งยากต่อการข่มใจไม่ให้รู้สึกถึงความอาลัยได้ (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_31_12_13_11_13_12.jpeg) ก่อนหน้าที่หลวงพ่อคูณท่านจะมรณภาพ ก็เคยมีข่าวลือเกี่ยวกับการมรณภาพของท่านออกมาหลายครั้ง ให้เป็นที่ต้องได้กังวลของชาวพุทธหลายคน ซึ่งให้การเคารพนับถือท่าน แต่ทุกครั้งที่มีข่าว สุดท้ายก็มักจบลงด้วยความไม่เป็นจริงอยู่เสมอ และที่น่าสังเกตมากไปกว่านั้น คือหลังจากการมีข่าว มักจะมีเรื่องของการสร้างวัตถุมงคลตามมาด้วย มีการเข็นสรีระที่ดูอิดโรยและไร้สติของหลวงพ่อออกมาพบชาวบ้าน อย่างเกิดภาพที่ไม่ชวนให้เลื่อมใสเลย หนักเข้าจนระยะหลัง คนในสังคมเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของบรรดาลูกศิษย์คนใกล้ชิดหลวงพ่อมากขึ้น ที่ไม่ยอมให้ท่านได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที ทั้งที่สังขารร่างกายของท่านอ่อนล้าเต็มทีแล้ว ถึงกับมีการเสียดสีวัตถุมงคลรุ่นหลังที่สร้างขึ้นว่า "รุ่นกูไม่รู้เรื่อง" เลยทีเดียว :25: :25: :25: :25: พูดถึงหลวงพ่อคูณนั้น แน่นอนว่า ท่านเป็นพระที่ชาวบ้านให้การเคารพนับถือและศรัทธาเลื่อมใส โดยเฉพาะก็คนในแถบภาคอีสาน ที่ดูจะเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า หลวงพ่อเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีวิชาอาคม ไปในทางของไสยเวทย์ ดั่งราชทินนามจากสมณศักดิ์ของท่านที่ว่า พระเทพวิทยาคม นั้น ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงกิตติศัพท์ในเรื่องนี้ได้ดี แต่ในภูมิหลังแล้ว ใครจะทราบว่า พระเกจิอย่างหลวงพ่อคูณ ก็เป็นแค่พระธรรมดารูปหนึ่ง ที่เพียรบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ของสังคมเท่านั้น ดังที่ปรากฏว่าเคยมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ท่านว่า หลวงพ่อมีฌาน จริงหรือเปล่า ท่านก็ตอบอย่างไม่อวดอุตตริว่า กูไม่รู้หรอก มีญานอะไร มีก็แต่ยานโตงเตง นี่คืออารมณ์ขันของท่าน ไม่ต่างจากที่มีคนถามท่านว่า ทำไมถึงใช้วิธีเคาะหัว ไม่พรมน้ำมนต์เหมือนวัดอื่น ท่านก็ตอบอย่างติดตลกว่า พรมไม่ไหวหรอก วัดมันแคบ พรมไปพรมมาเดี๋ยวเปียกแฉะ (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_31_12_13_11_26_05.jpeg) ถึงเรื่องวัตถุมงคลเล่า ท่านก็เคยพูดไว้ชัดเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ว่า ที่มันขายกันหน้าวัด ไม่ใช่ของกูดอก แต่ก็ไม่ได้ห้าม เพราะเห็นว่ามันต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียมัน กูเข้าใจ และถึงท่านจะเป็นพระเกจิ ที่ขาดเรื่องของการปลุกเสกเครื่องรางของขลังและรับเงินทองไม่ได้ แต่ท่านก็เคยพูดไว้ชัดว่า กูไม่เคยพูดว่า เอาเหรียญไปเอาพระไปแล้ว ไปอวดดีอวดเก่ง ให้เอาไปห้อยคอ ใส่กระเป๋าไว้ กระตุ้นเตือนใจว่า เราจะไปทำสิ่งที่ชั่วช้าสารเลวอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ให้นึกถึงคุณพระ ไม่ใช่เอาไปยิงไม่ตาย ฟันไม่เข้า กูไม่เคยพูดเลย เป็นต้น ส่วนเรื่องเงินนั้น มีคนมาทำบุญ ท่านก็รับ แต่ท่านจะบอกว่า ไม่ใช่เงินกู เขาไม่ได้เอามาถวายกู เขาเอามาฝาก กูก็ตีกลับ กูเอาเงินนั่นไปทำสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ ให้แก่ชาติบ้านเมือง อย่ามาว่าของกู อาตมาออกจะชอบใจที่ครั้งหนึ่งเคยมีนักข่าวไปถามท่านว่า หลวงพ่อทำไมไม่สร้างวัด สร้างแต่โรงพยาบาลสร้างแต่โรงเรียน ท่านตอบอย่างน่าคารวะว่า โรงพยาบาล มึงไปดูเถอะ ไม่ว่าในสถานที่หนึ่งที่ใด คนจะหาบ้านพักไม่มี แล้วไปนอนตามฟุตปาธกัน หาโรงเรียนเล่าเรียนไม่มี มันแน่นกันไปหมด สร้างโบสถ์นี่มันหลายล้าน นานๆจะมีพระมาบวช สร้างเมรุก็นานๆ จะมีศพมาเผา นี่คือวิธีการคิดเพื่อส่วนรวมของพระอย่างหลวงพ่อคูณ แม้จะมีคนตำหนิท่านอยู่บ้างว่า วิธีการที่ท่านใช้ ไม่เหมาะสม พาชาวบ้านลุ่มหลงงมงายอยู่กับวัตถุมงคล แต่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา จวบจนถึงกาลที่ท่านมรณภาพ หลวงพ่อคูณได้แสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่ท่านทำ มาจากกุศลเจตนาของท่านจริงจริง ไม่ได้มีเรื่องของผลประโยชน์สิ่งอื่นใดแอบแฝงเพื่อตัวของท่านเองนอกไปจากนี้ (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_04_01_14_9_09_41.jpeg) อีกประการหนึ่ง สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงดูจะไม่ได้นั่นก็คือ แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้ว ตามอำนาจของกฎพระไตรลักษณ์ที่ไม่มีใครจะต่อสู้หรือแข็งขืนอยู่ได้ แต่พินัยกรรมที่ท่านได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ท่านไม่ต้องการเครื่องเกียรติยศใดใดทั้งสิ้น อย่างที่พระซึ่งมีสมณศักดิ์ต่างพากันกวิลหาและแก่งแย่งอยากได้มาครอบครอง แม้แต่สรีระอันปราศจากวิญญาณ ท่านก็ยังถือเป็นสิ่งที่มีคุณอันอาจบริจาคเป็นทานแก่ผู้อื่นได้ สิ่งนี้เป็นเครื่องที่น่าจะยืนยันให้เราประจักษ์กันได้แล้วว่า หลวงพ่อคูณหรือพระเทพวิทยาคม เป็นพระโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง และได้ประพฤติตนเพื่อให้เกิดสุขะและหิตะประโยชน์แก่ผู้อื่น ดั่งพุทธดำรัสที่ตรัสสั่งทุกประการ ในที่สุดนี้ ด้วยกุศลบุญทั้งหลายที่หลวงพ่อท่านได้เคยทำไว้ตลอดระยะเวลาที่ครองสมณวิสัย อาตมาคิดว่าคงจะส่งผลเป็นพลวปัจจัยให้หลวงพ่อได้จุติยังสัมปรายภพเบื้องหน้าอันเป็นแดนแห่งสุคติภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย จึงขอแสดงความอาลัยกับการจากไปของท่านในครั้งนี้ด้วย... ขอบคุณบทความจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1431889032 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1431889032) |