หัวข้อ: ไม่ต้องมาเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติโก โหติกา เกิดชาติไหน ก็อย่ามาเจอกัน เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ พฤษภาคม 18, 2015, 12:20:10 pm (http://www.madchima.net/images2558/bot-02.jpg)
" ( ไม่ต้องมาเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติโก โหติกา เกิดชาติไหน ก็อย่ามาเจอกัน ) เริ่มต้นประโยค ประจำที่ได้ยิน จากพี่น้องคนรัก กันมาตั้งแต่เยาว์วัย จากพี่น้องวงษ์ตระกูล หลายท่านมักจะพูดถึงเราในด้านลบ ไม่มีใครกล่าวคำอนุโมทนา หรือ ยินดี ต่อการอุปสมบถ เป็นพระของฉัน และยิ่งเป็นพระที่ไม่ทำตัวเหมือนชาวบ้านอีก หลายคนส่ายหน้า ว่า ฉันนี่ บ้า ไปกันใหญ่ แล้ว นิพพง นิพพาน มีซะที่ไหน ? เสียการ เสียงาน เสียอนาคต พ่อแม่พึ่งพาไม่ได้ บวชอาศัยผ้าเหลือง หากินไปวัน ๆ คนอย่างนี้ ไม่ต้องมาเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติโก โหติกา เกิดชาติไหน ก็อย่ามาเจอกัน คำประจำที่ได้ยินมา ทุกครั้ง พี่น้องญาตฉัน เห็นฉันเดินอยู่จะไปวัด ยังไม่จอดรถรับเลย นะ เออ ตรงนี้ต้องมาพิจารณาตนเอง ตั้งแต่เด็กมา ตระกูลเป็น ตระกูลคนจีน จะรังเกียจ คนบวช มาก เพราะเขาคิดว่า คนบวช คือ คนไม่มีที่ไป ยิ่งในตระกูลฉัน มีพ่อของฉัน เป็นตัวอย่างให้โจษขานด้วย เพราะว่า ท่าน บวช ๆ สึก ๆ ถึง 4 ครั้ง ด้วยคือทุกครั้ง คิดไม่ออก แก้ปัญหาไม่ได้ ก็ไปบวช พอบวชแล้ว คลายทุกข์แล้ว ก็สึก พี่น้องทางตระกูล จึงมองในด้านลบ อย่างนี้ส่วนหนึ่ง เผอิญ เหมือนเชื้อสาย ก็คือ ฉัน ก็ถูกปลูกฝัง ด้วยพ่อ ที่พาไปบรรพชาเป็นสามเณร ถึงไม่ได้เคารพศรัทธาศาสนาในเบื้องต้น ฉันก็ยังพยายามภาวนา ตามครูอาจารย์ คืนแรกที่บวช นอนร้องไห้ทั้งคืน มันเหงา ไม่มีเพื่อนเล่น เด็กอายุ 11 ปี นะ เคยเล่น เคยเที่ยว จู่ ๆ ก็ถูกจับไปบวช อดข้าวเย็นวันแรก หิว นมก็ไม่มี พูดง่าย ๆ บวชเสร็จ พ่อก็ไปเลย ทิ้งไว้ที่วัด ที่ไม่มีใครสนใจ เพราะเขามองว่า ฉัน เป็นเด็กมีปัญหา แม้แต่หลวงตาในวัด ยังไม่พูดกับฉันเลยถึง หนึ่งเดือน มีแต่เด็กข้างวัด และ อาจารย์เจ้าอาวาส ที่เรียกคุยด้วย ห่มผ้าก็ไม่เป็น ต้องให้เด็กข้างวัดที่หิ้วปิ่นโต มาช่วยห่มให้ ผ้าผืนใหญ่ เดินบิณฑบาตตามหลังพระเดินไว บนคันนา หกล้ม ทั้งตัว บาตรเหล็กลูกใหญ่ ร้อนมาก ๆ ตอนรับข้าว ไม่มีถลกบาตร อย่างปัจจุบัน ไม่มีสายสะพาย อย่างปัจจุบัน คิดแล้วก็ อนาถ เนาะ แต่อย่างไร ตระกูล ญาตพี่น้อง ฝ่ายพ่อ ไม่มีใครอนุโมทนา ในการบวชของฉัน ทุกคนคิดว่าทำเรื่องไร้สาระ หลายคนบอกว่า เป็นพระอยู่วัด มีเงินใช้ดูแลพี่น้องได้ แต่ฉันเป็นพระที่ไม่ค่อยอยู่วัดเดินทางไปทั่ว เสกสวดก็ไม่เอา เงินทองหยิบยืมก็ไม่ได้ เพราะไม่มี ทำแต่เรื่องไร้สาระ นั่งสมาธิ อยู่ป่า อยู่ เขา สอนธรรมะ เผยแผ่ธรรมะ หาสาระอะไรก็ไม่ได้ ดูมาหลายปี ตั้งแต่บวช จนปัจจุบัน ก็เป็นที่พึ่ง แก่ญาตไม่ได้ ( 55 55 55 ) ส่วนตัวก็ยอมรับนะว่า เราเป็นที่พึ่งใครไม่ได้จริง ๆ เงินทองก็ไม่มี ความรู้ติดตัวก็ไม่ค่อยมี เอาดีไม่ได้ทางธรรม เป็นได้แต่พระอ้วน ๆ บ๊องส์ สติแตกไปวัน ๆ อย่างที่เขาว่า เพราะวันหนึ่ง คืนหนึ่ง ฉันอุทิศเวลาให้กับการภาวนา นั่งหลับหู หลับตา ภาวนา เดินจงกรม เนสัชิกธุดงค์ ( นั่งหลับเป็นที่หัวร่อ ของ คนที่เห็น )เดินจงกรม ( เขาก็หัวร่อกันว่า เดินปกติไม่ได้ ต้องเดิน ช้า เดินกำหนด ) พูดธรรมะ หลายครั้ง ไม่รับกัณฑ์เทศน์ ชอบสวดมนต์แปล ชอบฉันในบาตร ไม่มีแผนอะไรในวันข้างหน้า พอถูกถาม ก็ตอบว่า ผมไม่รู้ครับ ว่าวันข้างหน้าจะไปเป็นอะไร รู้แต่ว่า ตอนนี้ภาวนาเพื่อ ไม่อยากกลับมาเกิด ในโลก ที่วุ่นวาย เท่านั้นเองครับ ขอพระหน่อยสิท่าน ญาติของฉันคนหนึ่ง เอ่ยวาจาครั้งแรกกับฉัน ก็เข้าไปหยิบให้ เท่าที่มีขอองค์ให้ไปกำหนึ่ง เขาถามว่า ที่ให้มาไม่มีเด็ดเลย อยากได้เด็ด ๆ ฉันก็ตอบว่า ที่ให้ทุกองค์เด็ด ๆ ทั้งนั้น ญาตฉัน ส่ายหน้า พร้อมพูดว่า บวชหลายปี พึ่งไม่ได้เลยเนาะ....... " ข้อความบางส่วนจากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม บันทึกการภาวนาและการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส หัวข้อ: บทความ บทนี้ นำออกมาเตือนใจ ท่านที่เป็นพระ ที่กำลังน้อยใจ บ่นมาทุกรูป เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ พฤษภาคม 18, 2015, 12:47:39 pm (http://www.madchima.net/images/271_100_5406.JPG)
บทความ บทนี้ นำออกมาเตือนใจ ท่านที่เป็นพระ ที่กำลังน้อยใจ บ่นมาทุกรูป อันที่จริงบทความตอนนี้ ที่เป็นบันทึก ส่วนนี้ อันที่จริงไม่ค่อยอยากจะเอามาเล่าเท่าใดนัก เพราะส่วนหนึ่งก็เหมือน ตำหนิตระกูลตนเองด้วยทางหนึ่ง แต่อีกทางหนึ่ง ก็เหมือนว่า การบวชของตนเองนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลง พี่น้อง ญาตตระกูลให้เคารพศรัทธา ในพระธรรม หรือ ตัวผู้บวชเองด้วย ตัวฉันเอง สอนลูกศิษย์มาก็มากมายอยู่นะ สอนทั้งพระเณร อุบาสก อุบาสิกา จำนวนมาก แต่ที่ยังสอนไม่ได้ และไม่ฟังสิ่งที่เราสอน หรือนำเลย ก็ ญาติพี่น้อง พ่อแม่ อันเป็นคนสืบเชื้อสายโลหิต ด้วยกันนี่แหละ คิดไปคิดมา มันช่างใช้เวลายาวนานเป็นอย่างมาก เลยสำหรับคนทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเรื่องที่โปรดได้ยาก มาก ๆ นึกถึงครูอาจารย์ ใหญ่ ก็เช่นกัน ดังนั้น ท่านที่น้อยใจ ว่า ญาต พี่น้อง ไม่ค่อยฟังท่าน ไม่เห็นด้วยเวลาท่าน ภาวนา นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม อยู่ธุดงค์ ประมาณนี้ คิดว่าอย่าไปเสียเวลาน้อยใจเลย จงภูมิใจเถิดว่า ตอนนี้ ท่านอยู่ในเหล่ากอ ของ พุทธวงศ์แล้ว หน้าที่ ก็คือ ภาวนาสู่จุดหมาย ปลายทาง คือ ความเป็น พระอรหัตผล นั่นแหละ เป็นเรื่องที่ สำคัญ อย่ามัวเสียเวลาไปเอาใจ คนนั้น คนนี้ เลย ในทางกลับกัน ท่านควรจะต้องมีมานะ บ้าง สำหรับ พระที่ขี้น้อยใจ เพราะเรื่องเหล่านี้ ควรจะต้องมี มานะ เอาดีทางธรรม ให้ได้ด้วย ทำและพิสูจน์ ให้พี่น้องเห็นว่า ผลการปฏิบัติ มีอยู่จริง ไม่ใช่เป็นเรื่องไร้สาระ ฝากไว้เท่านี้ ;) หัวข้อ: Re: ไม่ต้องมาเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติโก โหติกา เกิดชาติไหน ก็อย่ามาเจอกัน เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ พฤษภาคม 18, 2015, 11:37:57 pm ขออนุโมทนาสาธุ ครับ หัวข้อ: Re: ไม่ต้องมาเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติโก โหติกา เกิดชาติไหน ก็อย่ามาเจอกัน เริ่มหัวข้อโดย: fasai ที่ พฤษภาคม 19, 2015, 09:32:30 pm st11 st12 st12
หัวข้อ: Re: ไม่ต้องมาเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติโก โหติกา เกิดชาติไหน ก็อย่ามาเจอกัน เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ พฤษภาคม 19, 2015, 10:14:36 pm ชอบเรื่องนี้ของพระอาจารย์จังค่ะเหมือนพายเรือทวนน้ำอ่านแล้วได้ข้อคิดหลายอย่าง อนุโมทนา สาธุ st11 :25: thk56
|