หัวข้อ: ′ภาษีพระ′ ชอบธรรมหรือล้ำเส้น? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤษภาคม 26, 2015, 08:46:43 am (http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14324441451432444164l.jpg) ′ภาษีพระ′ ชอบธรรมหรือล้ำเส้น.? ถกประเด็นร้อนกับ′ชาญณรงค์ บุญหนุน′ โดย พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร วงการผ้าเหลืองร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง หลังคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอให้เก็บภาษีภิกษุสงฆ์ที่มีรายได้เกิน 2 หมื่นบาทต่อเดือน รวมถึงวัดที่จัดกิจกรรมเชิงพุทธพาณิชย์ ซึ่ง ครม.ได้รับข้อเสนอดังกล่าวก่อนจะส่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ศึกษา นำมาซึ่งกระแสต่อต้านจากคณะสงฆ์ทั่วประเทศ บ้างก็ว่าเป็นการขูดรีดพระสงฆ์ บ้างก็ตั้งข้อสงสัยถึงวาระซ่อนเร้น บ้างก็มองว่าเป็นเรื่องตลก และบ้างก็ถึงขนาดเตรียมลุกฮือ การเสนอเก็บภาษีพระและวัด ถือว่าท้าทายศาสนจักรซึ่งเคยอยู่ในฐานะ "แตะต้องไม่ได้" หรือไม่? พระสงฆ์จะกลายเป็นอาชีพ และวัดจะเปรียบเสมือนบริษัท เช่นนั้นหรือ? เมื่อคิดจะถกประเด็นดังกล่าว นาทีนี้คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน เจ้าของบทความ "พุทธศาสนาแบบชาวบ้าน : พุทธศาสนาในมิติแห่งอารมณ์ความรู้สึกและกรณีศึกษาหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ" ที่แชร์สนั่นในโลกออนไลน์หลังมรณภาพของเกจิแห่งสยามประเทศ ไม่เพียงเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร แต่ยังเคยอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์นานถึง 16 ปี จึงรู้ลึกทั้งวงนอกและ "วงใน" ชาญณรงค์มองอย่างไร น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ask1 ans1 ask1 ans1 พระมีเงินส่วนตัวเยอะจริงไหม? มีจำนวนหนึ่ง แต่เยอะไหม ไม่ทราบ อย่างพระรุ่นเก่าไม่มีบัญชีธนาคาร บางทีฝากญาติโยม แต่พระรุ่นใหม่อาจจะมีบัญชี ผมว่าประเด็นปัญหาคือเราไม่เคยสำรวจว่าพระและเณรที่มีอยู่ราวๆ 3 แสนกว่ารูปในประเทศนี้ ใครมีเงินจริงหรือเปล่า เพราะไม่เคยมีการสำรวจว่าพระรูปไหนหรือกลุ่มไหนมีรายได้ประจำ เราไม่มีข้อมูลชัดเจน จึงยากที่จะกำหนดว่าจะต้องเสียภาษีอย่างไร ask1 ans1 ask1 ans1 แล้วเงินวัด เคยได้รับการตรวจสอบหรือไม่? จริงๆ แล้ว เมื่อปี 2539 ทางศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยทำวิจัยโดยสำรวจว่าวัดใน กทม.มีรายรับรายจ่ายมากน้อยแค่ไหน แต่วัดใหญ่ๆ ทั้งหลายไม่ให้ความร่วมมือ มีแต่วัดระดับกลางและเล็กที่ยอมให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ก็ดูรู้อยู่แล้วว่าวัดไหนมีเงิน แต่ทำไมไม่เปิดเผย อันนี้เป็นปัญหาที่พระต้องสำรวจตัวเอง ถามว่าใช้ระบบกฎหมายเข้าไปจัดการได้ไหม ก็ควรจะทำได้ แต่มันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องเจ้าอาวาส กรรมการวัด เพราะระบบเงินวัดอาจอยู่ในบัญชีเจ้าอาวาส หรือบางทีอยู่ในรูปมูลนิธิซึ่งมีคณะกรรมการเป็นคนดำเนินการ หรือมีไวยาวัจกรเป็นคนรับผิดชอบ ask1 ans1 ask1 ans1 วัดกลัวอะไร ทำไมไม่เปิดเผย? มันเป็นปัญหาของพระ ซึ่งไม่อยากให้คนรู้ว่าตัวเองมีเงิน พอคนรู้ว่าวัดมีเงินเท่าไหร่ อาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่น่าศรัทธา หรือวัดนี้รวย ไม่ทำบุญ นอกจากนี้ เวลาคนนึกถึงพระ มักเป็นเรื่องอุดมคติว่า พระทรงศีล สมถะ ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นสิ่งที่เราคาดหวัง เพราะฉะนั้นเวลาบอกว่าพระมีเงิน มันเริ่มขัดแย้งกับอุดมคติของคน ถ้าพระเปิดเผยเรื่องเงิน คนจะรู้สึกว่าไม่มีความต่างระหว่างชีวิตฆราวาสกับพระ ต่างแค่ห่มผ้าเหลือง โกนผม ask1 ans1 ask1 ans1 วัดควรแสดงความโปร่งใสด้านการเงินของตัวเองไหม ทำอย่างไร? ควรอย่างยิ่ง เพราะในแง่อุดมคติ เงินเป็นสมบัติส่วนกลาง วัดต้องแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายให้คนที่สนับสนุนรู้ว่าคุณมีเท่าไหร่ เอาไปใช้อะไร ใครได้ผลประโยชน์จากเงินจำนวนนี้ ไม่ใช่รู้กันแค่คณะกรรมการเพียง 1-2 คน อาจจะไม่ต้องถึงขนาดออกสื่อหรือป่าวประกาศ แต่ถ้ามีใครขอดูต้องพร้อมให้ดูได้ จริงๆ แล้วชาวบ้านทั่วไปอาจไม่ค่อยสนใจหรอก เขาถือว่าบริจาคแล้วก็ได้บุญ แต่คนจำนวนหนึ่งเริ่มสงสัยว่าเงินเยอะๆ นี่เก็บไว้กินดอกหรือเปล่า ซึ่งถ้าใช่ก็ถือเป็นการลงทุน ฉะนั้นต้องเสียภาษี แต่ฝากประจำก็เสียภาษีอยู่แล้วใช่ไหม หรือกรณีวัดธรรมกาย เงินเป็นสมบัติของใคร ถ้าเอาเงินกระจายให้คนในประเทศได้ประโยชน์บ้าง น่าจะดี แต่ว่าเขาก็ทำอะไรเยอะ เช่น ส่งพระไปทั่วโลก ask1 ans1 ask1 ans1 ถ้าเก็บภาษีจริง ภาพลักษณ์พระสงฆ์จะถูกลดทอนความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? ถ้าภาพออกมาว่าพระมีเงินก็ลดทอนอยู่แล้ว ปัจจุบันพระในเมืองก็มีทั้งเรื่องของสมณศักดิ์ เรื่องเงิน เรื่องที่อยู่อาศัยหรูหรา มีรถยนต์ มีรายได้เหมือนคนที่รับจ้างทำงาน ซึ่งไม่ค่อยต่างจากฆราวาสเท่าไหร่ ทำให้คนรู้สึกว่าพระไม่ได้มีลักษณะของความศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้นการที่มีผู้เสนอให้เก็บภาษีพระ เพราะเขารู้สึกว่าที่สุดแล้วพระก็เหมือนคนธรรมดา การเรียกร้องให้เก็บภาษีพระ เหมือนการทรีตพระให้เหมือนชาวบ้าน ask1 ans1 ask1 ans1 เห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอเรื่องเก็บภาษี? วัดเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยสถานะแล้วเก็บภาษีไม่ได้ ซึ่งจะขอตั้งข้อสังเกตว่าเวลาจะเก็บภาษีพระ มันเหมือนกับว่าเห็นพระจำนวนหนึ่งมีตังค์เยอะ ไม่รู้ว่าเยอะแค่ไหน แต่มีภาพว่ามีตังค์ มันทำให้คนจำนวนหนึ่งคิดว่ามีน่าจะต้องเก็บภาษี โดยยังไม่ได้คิดถึงประเด็นอื่น คิดอยากเก็บก็เก็บ เป็นอำนาจนิยมอย่างหนึ่งหรือเปล่า เพราะฉะนั้น คำถามอยู่ที่ว่า 1. คุณคิดจากหลักการอะไร แค่เห็นว่าพระมีเงินแล้วอยากได้เงินเขาใช่ไหม ถ้าคิดแค่นี้ ถือว่าตื้นเขินมาก 2. รัฐมีสิทธิเก็บไหม มีความชอบธรรมหรือเปล่า 3. เก็บไปทำอะไร ต้องคิดให้ครอบคลุมก่อนที่จะบอกว่าควรเก็บภาษีหรือไม่ควร เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ถ้าอธิบายได้ว่ารัฐมีสิทธิ มีความชอบธรรมที่จะเก็บภาษีพระ ก็ไม่น่ามีปัญหา หากคิดมากหน่อยในเชิงปรัชญา จะมีหลักการแบบประโยชน์นิยม เช่น มองว่าการเก็บภาษีเป็นประโยชน์สำหรับคนจำนวนมากหรือเปล่า หรือถ้าคิดในอีกมุมหนึ่ง มันมีหลักปรัชญาบางสำนักที่คิดว่าการเก็บภาษีชอบธรรม เป็นการกระจายผลประโยชน์ไปสนับสนุนคนอื่น ส่วนหลักการทางปรัชญาเกี่ยวกับรัฐเสรีนิยม บอกว่าการเก็บภาษีเป็นการบีบบังคับชนิดหนึ่ง (หัวเราะ) ฉะนั้น ระดับการคิดโดยทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับพระเลย ก็ยังหาคำอธิบายลำบากเหมือนกัน คำถามคือเวลาจะเก็บภาษีพระ จะคิดจากแง่มุมไหน ask1 ans1 ask1 ans1 พระบางส่วนมองว่าเป็นการรีดไถ? เรื่องรีดไถขึ้นอยู่กับมุมมอง พระอาจจะตั้งคำถามในใจว่า จะเอาเงินภาษีไปทำอะไร ถ้าเอาไปสนับสนุนวิถีชีวิตชาวพุทธให้ดีขึ้น ผมคิดว่าพระอาจจะโอเค ไม่ถือว่าขูดรีด แต่เป็นการเผื่อแผ่ แต่อีกมุมหนึ่งพระก็อาจจะคิดว่าตัวเองไม่มีตังค์อยู่แล้ว ต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ได้บ้างไม่ได้บ้าง พอมีเงินจำนวนหนึ่งขึ้นมาก็ต้องไปเสียภาษีอีก เลยอาจรู้สึกว่าถูกขูดรีด สำหรับพระที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่มีเงินเดือนประจำสูงๆ ก็ถูกหักภาษีอยู่แล้ว พระท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กรณีที่ชาวบ้านนำเงินไปถวายพระรูปนั้นรูปนี้ แล้วจะเอาเหตุผลอะไรไปเอาเงินที่คนมอบให้ด้วยความศรัทธามาเป็นของรัฐ ขูดรีดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ยังมองไม่เห็นความชอบธรรม ask1 ans1 ask1 ans1 กิจกรรมพุทธพาณิชย์ซึ่งเสนอให้เก็บภาษี จะขีดเส้นอย่างไร ว่าอะไรคือพุทธพาณิชย์ อะไรไม่ใช่? เมื่อบอกว่าจะเก็บภาษีพุทธพาณิชย์ มันมีประเด็นซับซ้อนมาก เพราะต้องดูที่เป้าหมาย เช่น ในบางกรณีเวลาพระสร้างวัตถุมงคล ไม่ใช่ว่าพระอยากได้ตังค์เพื่อตัวเอง แต่เป็นการระดมทุน เช่น จะสร้างกุฏิ หรือทำประโยชน์อื่นๆ ซึ่งการจะได้เงินจากรัฐมาสนับสนุนถือว่าน้อย ยกเว้นพระที่มีอำนาจหรือศักยภาพพิเศษ มีความศรัทธาของคนรองรับอยู่ เพราะฉะนั้น ต้องตั้งคำถามว่ารัฐจะเอาสิทธิอะไรในการเก็บภาษีจากเงินที่ระดมทุนเพื่อกิจการสาธารณประโยชน์ อย่างไรก็ตาม มีกรณีศึกษาคือที่ผ่านมามีนายหน้ารับทำเหรียญต่างๆ โดยออกเงินให้ก่อน แต่วัดแห่งหนึ่งที่ผมรู้จัก เกิดทำจตุคามในช่วงขาลง แล้วขายไม่ออก พระก็ต้องหาเงินใช้หนี้นายทุน ทีนี้ เราจะแยกอย่างไรว่ากิจการที่ทำพุทธพาณิชย์ขึ้นมา เป็นการทำเพื่อหาเงินโดยใช้กิจการศาสนาเป็นข้ออ้าง หรือหาเงินเพื่อสาธารณประโยชน์จริงๆ ตรงนี้แหละที่พิจารณายาก เช่น วัดไร่ขิง แค่ขอทานมีเงินเท่าไหร่แล้ว เงินที่เข้าไปอยู่ในวัดไร่ขิง มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่วัดไร่ขิงมีโรงพยาบาลดีๆ สนับสนุนโรงเรียนปริยัติธรรม ask1 ans1 ask1 ans1 คิดว่ามีวาระซ่อนเร้นตามที่พระสงฆ์บางรูปตั้งคำถามหรือไม่? พระมีสิทธิสงสัย แต่ก็ต้องมาตั้งคำถามว่า ความหมายของคำว่าวาระซ่อนเร้นคืออะไร ถ้าหมายถึงการมีขบวนการทำลายล้างพุทธศาสนาให้ล่มสลายซึ่งพระทั่วไปมักจะคิดเช่นนั้น อันนี้ผมว่าพระมโนเกินไป แต่ถ้าเป็นวาระซ่อนเร้นในเชิงการเมือง อย่างเช่น ผู้เสนอรู้สึกว่าพระจำนวนมากสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม จึงคิดจัดการ ซึ่งเจตนาจริงๆ เราไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ๆ คือกระบวนการที่ผ่านมามันทำให้พระระแวง การเจาะจงเฉพาะนักบวชและวัดพุทธ ถือว่าเลือกปฏิบัติไหม เพราะในไทยก็มีหลายศาสนา? นี่ก็เป็นสิ่งที่พระสงฆ์มีความชอบธรรมที่จะถาม เพราะเป็นเรื่องของความเท่าเทียม ว่าทำไมไม่เก็บศาสนาอื่นด้วย ถ้าทุกศาสนาที่มีรายได้ ต้องเสียภาษี เพราะเป็นพลเมืองไทยเหมือนกัน ศาสนาคริสต์มีการบริจาคเงินเข้าโบสถ์ มีการระดมทุนเหมือนวัดพุทธ แต่มีภารกิจชัดเจนว่ากลุ่มของเขา ตั้งขึ้นเพื่ออะไร เช่น ช่วยเหลือการศึกษาเยาวชน พยาบาลคนแก่ หรือจัดการการศึกษา ในขณะที่พุทธค่อนข้างคลุมเครือ วัดเดียวทำทุกอย่าง สำหรับมุสลิมเขามีกระบวนการอีกแบบหนึ่ง เพราะเป็นองค์กรฆราวาส ไม่มีนักบวชแต่เป็นชาวบ้าน เป็นโต๊ะครู อิหม่าม อะไรก็แล้วแต่ซึ่งเขาอาจต้องเสียภาษีอยู่แล้วในฐานะพลเมืองธรรมดา (http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14324441451432444174l.jpg) พระสงฆ์บอกอาจมีลุกฮือ เหมาะสมไหมกับบทบาทผู้ทรงศีล? ในสังคมประชาธิปไตย ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงเจตจำนง หรือลุกขึ้นมาต่อต้านสิ่งที่ตัวเองรู้สึกเสียผลประโยชน์ แต่ถ้าออกมาพูดในลักษณะข่มขู่ หรือใช้คำพูดรุนแรง อาจทำให้เสียภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก ask1 ans1 ask1 ans1 หรือจริงๆ แล้วที่พระไม่พอใจ เพียงเพราะรู้สึกถูกท้าทายความศักดิ์สิทธิ์? พระในประวัติศาสตร์มีลักษณะของอุดมคติ คือ อยู่เหนือโลก ถ้ามองว่าอำนาจของพระคืออำนาจของความศักดิ์สิทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่พระครอบครองอยู่โดยอุดมคติ เช่น พระมีศีลธรรม ความสมถะ พอโดนปฏิบัติในลักษณะเหมือนคนธรรมดาอย่างการเก็บภาษี มีการเอาเรื่องทางโลกไปจัดการ ก็เริ่มรู้สึกว่าสถานะที่ตัวเองเคยมีถูกท้าทาย ก็อาจจะหงุดหงิดว่าคนมองพระอีกแบบหนึ่งแล้ว ask1 ans1 ask1 ans1 สถานการณ์ขณะนี้สะท้อนอะไร? ในแง่สังคม สะท้อนว่าปัจจุบันฆราวาสแบ่งเป็น 2 กลุ่มคร่าวๆ คือ กลุ่มคนในเมืองที่มองพระแบบโรแมนติก แนวอุดมคติ ซึ่งพระต้องเป็นบุคคลที่สะอาด สว่าง สงบ เวลาพระเป็นข่าวจะเริ่มทำใจไม่ได้ ว่าพระไม่ต่างกับฆราวาส เพราะยังยึดติดกับสมณศักดิ์กลุ่มนี้จะเป็นคนที่เสพข่าวสาร มีการศึกษา ส่วนอีกกลุ่มคือชาวบ้านตามบ้านนอกซึ่งคลุกคลีอยู่กับวัด ยังศรัทธาพระในแบบที่ศรัทธาจริงๆ แม้จะไม่ได้มองพระว่าสูงส่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่ชาวพุทธที่ดี ในแง่ของสงฆ์ จะเห็นได้ว่ามีสถานะคล้ายฆราวาสมากขึ้น เป็นนักวิชาการก็มี สภาพสังคมทำให้ชีวิตพระเปลี่ยน พระพยายามปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยใหม่ ซึ่งทำให้คนที่คาดหวังว่าพระจะสมถะ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณนั้น...เริ่มเกิดความไม่แน่ใจ แต่ยังโอเคกับพระบางรูป เช่น หลวงพ่อคูณ ที่ยังอยู่ในอุดมคตินี้ ask1 ans1 ask1 ans1 พระเซเลบ มีส่วนหรือเปล่าที่ทำให้ระยะห่างระหว่างสงฆ์กับฆราวาสยิ่งน้อยลง? ก็เป็นไปได้ พระออกหนังสือ โปรโมตหนังสือ ออกทีวี มีอีเวนต์ ซึ่งมีเงินเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้คนรู้สึกว่า เหมือนพระออกไปทำงานเหมือนฆราวาส พระน่าจะเสียภาษี ถ้าจะมองจากมุมมนี้ก็คิดได้ ถ้าไปทำเป็นอีเวนต์เป็นอาชีพ มีค่าจ้าง แม้ไม่เรียกว่าค่าจ้างก็ตาม มันก็น่าจะพิจารณานะ (หัวเราะ) ask1 ans1 ask1 ans1 สรุปแล้ว ประเด็นเงินวัด มีทางออกไหม แก้ไขอย่างไรดี? วัดและคณะสงฆ์ไทยต้องหาวิธีการจัดการเงินให้ดี ถ้ามีวิธีการจัดการเงินที่กระจุกตามวัดใหญ่ให้มีระบบ ช่วยสนับสนุนวัดอื่นๆ ที่ยังขาดแคลนได้อย่างเป็นระบบ คนก็คงไม่อยากเอาภาษีกับพระหรอก ทำไมไม่ทำกองทุนของชาวพุทธที่ทุกวัดมีส่วนร่วมโดยการระดมทุนจากวัดต่างๆ มาเป็นกองทุนส่วนกลาง แล้วเอาไปฝากธนาคารใดธนาคารหนึ่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดมีธนาคารพุทธ แต่ปัญหาในปัจจุบันคือ เงินเป็นของวัดใครวัดมัน วัดที่ไม่มีเงินก็ไม่มีเลย วัดไหนอยากทำอะไร อยากสร้างอะไร ต้องพึ่งตัวเอง แม้จะมีการช่วยเหลือกันของวัดต่างๆ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เช่น เจ้าอาวาสวัดนั้น สนิทกับเจ้าอาวาสวัดนี้ ต่างจากคาทอลิก ซึ่งมีการช่วยเหลือกันอย่างเป็นระบบ เขามีกองทุนที่บริหารโดยส่วนกลาง ask1 ans1 ask1 ans1 แล้วการจัดการเงินในองค์กรพุทธในประเทศอื่นๆ เป็นอย่างไร? เท่าที่ทราบก็ไม่ได้มีอะไรชัดเจน คงคล้ายๆ กับบ้านเรา คือ ของใครของมัน แต่อาจมีบางองค์กร เช่น สำนักพุทธศาสนาแห่งโลก ซึ่งทำงานระดับนานาชาติ โดยอาจจะได้เงินจากการบริจาค ในสายพุทธศาสนา ไม่ได้มีใครคิดเรื่องการบริหารจัดการเงิน ยกเว้นทิเบตซึ่งศาสนาผูกกับรัฐ ระบบอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ในศรีลังกา พระส่วนหนึ่งมีอาชีพคล้ายฆราวาส คือ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสงฆ์ อาจเสียภาษีอยู่แล้ว แต่การออกกฎหมายให้เสียภาษี ผมว่าไม่มีนะ พระศรีลังกาเป็น ส.ส.ได้ด้วย ส่วนจีนกับญี่ปุ่น มีมูลนิธิ เช่น โซกา งัคไก เป็นนิกายที่มีระบบระดมทุนแล้วกระจายเงินเพื่อบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ไต้หวันก็มี ฉือจี้ ซึ่งเป็นมูลนิธิใหญ่ที่สามารถระดมทุนสร้างวิทยาลัยแพทย์ โรงพยาบาล สถานีโทรทัศน์ และยังช่วยสร้างโรงเรียนให้พม่าตอนเกิดพายุนากีส รวมถึงที่เชียงใหม่ จริงๆมันคือโมเดลแบบวัดธรรมกายเลย วัดธรรมกายอาจจะไปเรียนรู้มา ask1 ans1 ask1 ans1 วงการสงฆ์สั่นสะเทือนไหม จากกรณีต่างๆ ไม่ว่าจะธรรมกาย ปฏิรูปศาสนา มาจนถึงเก็บภาษีพระ? พระสงฆ์เริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคงมาหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้กลัวว่าชาวคริสต์จะกลืนพุทธศาสนา หลังจากนั้นก็มีเรื่องมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็รู้สึกว่าพุทธศาสนาจะโดนทำลายอีกแล้ว ต่อมามีความพยายามจะให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งก็มาจากความรู้สึกไม่มั่นคง จึงต้องการแสวงหาความมั่นคงที่ผูกติดอยู่กับรัฐ โดยเอาบทบัญญัติทางกฎหมายมารองรับ แต่ถามว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้สะเทือนไหม ผมว่ามันเป็นตัวที่ตอกย้ำความรู้สึกของพระที่อยู่ในวงการ ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ask1 ans1 ask1 ans1 พุทธศาสนา วิจารณ์ได้ หาใช่ อกตัญญู? เป็นอีกหนึ่งนักวิชาการ ที่โดนข้อกล่าวหา "อกตัญญูต่อพุทธศาสนา" เนื่องด้วยเคยบวชเรียนมานานจนได้เปรียญธรรม 6 ประโยค แต่กลับเขียนบทความเชิงวิพากษ์ และแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจไม่พ้องกับพระสงฆ์หรือชาวพุทธบางส่วน อย่างไรก็ตาม ชาญณรงค์บอกว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า อย่าเชื่อสิ่งต่างๆ โดยทันที แสดงว่าพุทธศาสนาไม่ได้บีบบังคับ หรือหวงห้ามในการตั้งข้อสงสัย การวิจารณ์จึงเป็นสิ่งที่กระทำได้ ถามว่า "หวั่นไหว" ในข้อกล่าวหาดังกล่าวหรือไม่ ชาญณรงค์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชัดเจนว่า "ไม่" เพราะเชื่อในเจตนาของตนที่ต้องการให้มีการถกเถียงให้เกิดปัญญา "ผมเชื่อในเจตนาที่วิจารณ์ไป อยากให้มีการถกเถียงอย่างมีเหตุผลให้เกิดปัญญา" ขอบคุณบทความและภาพจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432444145 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432444145) หัวข้อ: Re: ′ภาษีพระ′ ชอบธรรมหรือล้ำเส้น? เริ่มหัวข้อโดย: kittisak ที่ พฤษภาคม 26, 2015, 11:06:52 am การออกกฏหมาย ภาษีพระถ้าทำสำเร็จ จะทำให้พระที่มีอยู่น้อยแล้ว ก็จะน้อยยิ่งขึ้นไปอีก เป็นแผนกำจัดสงฆ์ ได้ดีส่วนหนึ่ง ปัญหาพระที่มีรายได้ ก็ต้องมีรายงานว่ามีรายรับ แต่ปัญหารายงานรายรับส่วนบุคคลจะทำอย่างไร เวลาไปสวดมาติกา ถือว่าไปทำงาน รับจ้างใช่ไหม ? และคนที่ถวายต้องขอใบเสริ็จ ซึ่งพระต้องออกใบเสร็จ + vat 3 % ด้วยใช่หรือไม่ ? มันดูยุ่ง ๆ ทั้งที่ผม ไม่เคยมองพระว่าเป็น อาชีพหนึ่ง แต่มองเป็น สรณะ หนึ่งต่างหาก
:49: |