สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤษภาคม 27, 2015, 08:44:27 pm



หัวข้อ: พระทั่วไปสบายใจได้ ไม่ต้องเสียภาษีแน่ ห้ามพระมีเงิน รัฐต้องหนุนตั้งธนาคารพุทธ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤษภาคม 27, 2015, 08:44:27 pm

(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/05/27/chfa5bkh8gjhejfa8aghk.jpg)

พระทั่วไปสบายใจได้ ไม่ต้องเสียภาษีแน่ ห้ามพระมีเงิน รัฐต้องหนุนตั้งธนาคารพุทธ
สำราญ สมพงษ์ รายงาน

เกิดศึกวิวาทะทางอากาศระหว่างกลุ่มคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา (สปช.) นำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน กับกลุ่มพระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) หลังจากที่ฝ่ายหลังเคยเตรียมเคลื่อนพลกดดันให้มีการยุบคณะกรรมการดังกล่าว ส่งผลให้ความขัดแย้งจะปะทุส่อพัฒนาไปสู่ความรุนแรงได้ แต่ก็ถูกเบรกจากมหาเถรสมาคม(มส.)

และเชื่อไฟความขัดแย้งปะทุกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา รับทราบข้อเสนอพร้อมความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้และมอบให้สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ศึกษาและรายงานกลับใน 30 วัน หรือวันที่ 12 มิ.ย.นี้นั้น จำนวน 4 ข้อโดยสรุปคือ
     1.ให้มีการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุให้โปร่งใส 
     2. เสนอให้แก้กฎหมาย มส. ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ 
     3. ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติ ห้ามมีการบิดเบือนหรือแอบอ้างพระธรรมวินัย รวมทั้งออกกฎหมายลงโทษพระภิกษุอย่างรุนแรง
     4. ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันเหตุการณ์  ทั้งนี้โดยระบุถึงสาเหตุคือแก้พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระภิกษุ

 :25: :25: :25: :25: :25:

หลังจากนั้นก็มีประเด็นที่เป็นข้อโต้แย้งตามมา คือจะมีการเก็บภาษีพระและเจ้าอาวาสควรมีคราวละ 5 ปีและอยู่ได้ไม่เกิน 2 วาระ ซึ่งนายไพบูลย์ก็ได้ชี้แจงในเวลาต่อมาว่า ประเด็นการกำหนดให้พระต้องเสียภาษีและโยกย้ายเจ้าอาวาสนั้นไม่ใช่เป็นความเห็นของคณะกรรมการเป็นแต่เพียงข้อเสนอของกรรมการบ้างคนเท่านั้นโดยให้เก็บภาษีพระภิกษุที่มีรายได้มากกว่า 2 หมื่นบาท และเก็บภาษีวัดที่จัดกิจกรรมเชิงพุทธพาณิชย์ พร้อมกันนี้นายไพบูลย์ก็ต่อประเด็นอีกว่า พระสังฆาธิการถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐไม่สามารถที่จะรับเงินได้ไม่เกิน 3000 บาทจำเป็นที่ ป.ป.ช.จะต้องมีการตรวจสอบ พร้อมกันนี้ระบุว่าจัดการกับทรัพย์สินของวัดไม่โปร่งใส ไม่มีการเปิดเผยอย่างถูกต้องมาตามมาตรฐานบัญชี

เมื่อกลุ่มของนายไพบูลย์เคลื่อนไหวทางด้านกลุ่มของพระเมธีธรรมาจารย์ก็มีการแสดงความเห็นและเคลื่อนไหวคัดค้านทันทีอันดับแรกบอกว่าได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศ จำนวน 33,902 วัด เพื่อปลุกให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน รวมถึงทำหนังสือพร้อมบทวิเคราะห์ "รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)และนำเสนอแนวทางการปฏิรูปส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาที่ให้ผลดี" ของ สนพ.  ถึงนายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ พศ.

 st12 st12 st12 st12 st12

ทั้งนี้พระเมธีธรรมาจารย์ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนออีกฝ่ายในเชิงลบควรจะเป็นข้อเสนอในเชิงบวกเช่นส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์มากกว่า ปัจจุบันนี้เจ้าอาวาสวัดวัดหลวงจะได้รับเงินนิตยภัตเพียง 2,000-3,000 บาทต่อเดือน ขณะที่เจ้าอาวาสวัดราษฎร์จะได้รับเพียง 1,500 บาทต่อเดือน  รัฐต้องให้การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมอุดหนุนเงินแก่สำนักเรียนบาลี โรงเรียนพระปริยัติธรรมให้เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันอุดหนุนน้อยมาก เช่น แผนกธรรม อุดหนุนตามจำนวนผู้สอบ 900 บาท/รูป/ปี 

แม้เงินอุดหนุนจะน้อยแต่สังเกตจากการประสาทปริญญาบัตรให้กับบัณฑิตที่จบการศึกษาจาก มจร มีมากถึง 5,240 รูป/คน แบ่งเป็นระดับปริญญาตรี พธ.บ.รุ่น 60 จำนวน 3,946 รูป/คน ปริญญาโท พธ.ม.รุ่น 25  จำนวน 1,078 รูป/คน และระดับปริญญาเอก พธ.ด.รุ่น 11 จำนวน  216 รูป/คน  ขณะที่นักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของทางโลกระดับ ป.1-ม.6 ให้ถึงหัวละประมาณ 31,505 บาท/คน/ปี นอกจากนี้ควรส่งเสริมการลาบวชโดยปรับแก้ระเบียบราชการ รัฐวิสาหกิจ และจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนาด้วย

 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

"หากจะเก็บภาษีก็ควรให้ครอบคลุมถึงศาสนาอื่นด้วยเพื่อความเท่าเทียม และต้องให้อำนาจสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)สามารถเข้าไปตรวจสอบวัดที่มีรายได้ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปและครอบคลุมถึงศาสนาเช่นกัน" ที่ปรึกษาสนพ. กล่าว

ทั้งนี้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้เคยกล่าวเป็นความรู้ไว้ว่า คำว่านิตยภัตกับเงินเดือนคนละอย่างกัน มีพระหลายรูปไม่เข้าใจเรียกกันว่าเงินเดือน ถ้าเป็นเงินเดือนจะต้องเสียภาษี ถ้าเป็นนิตยภัตไม่เสียภาษีความหมายต่างกัน

จากกรณีดังกล่าวได้ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระและวัดกับเงิน จึงมีประเด็นปัญหาก็คือว่า มีความสัมพันธ์กันได้หรือไม่ ถ้าได้จะได้ในลักษณะใด ตามหลักธรรมวินัย กฏหมาย กฎมหาเถรสมาคม หรือประเพณีปฏิบัติ และเงินเป็นตัวกำหนดความดีความชั่วของพระหรือไม่ หลังจากนั้นมาพิจารณาว่าพระกับการเสียภาษี

 st11 st11 st11 st11 st11

ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างพระกับเงินนั้น ตามหลักธรรมวินัยแล้วได้กำหนดห้ามพระจับต้องและครอบครองกรรมสิทธิ์เพราะถือว่ามีความผิดต้องอาบัติ (แต่ไม่ใช่ปาราชิก) ต้องเสียสละเงินนั้นถึงจะปลงอาบัติตก พร้อมกันนี้ท่านได้กำหนดวิธีการเสียสละก็คือทิ้งไปเลยหรือมอบให้เป็นสมบัติส่วนรวมและได้กำหนดให้มีบุคคลทำหน้าที่เก็บรักษาเรียกว่า "ไวยาวัจกร" ซึ่งก็มีการปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้สำหรับพระสังกัดฝ่ายธรรยุต  ขณะที่พระฝ่ายมหานิกายไม่ได้เคล่งคลัดในจุดนี้สามารถครอบครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เป็นที่ตำหนิ ถ้าบอกว่าผิดตามธรรมวินัยหรือไม่ก็ต้องบอกว่า "ผิด" ส่วนตามกฎหมายและกฎมหาเถรสมาคมไม่ได้กำหนดข้อห้ามสำหรับพระไว้และได้กำหนดให้มี "ไวยาวัจกร" ทำหน้าที่ดูแลเงินวัดที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่ระแบบการตรวจสอบและเปิดเผยไม่มีระบุที่ชัดเจน รวมถึงที่มาของ "ไวยาวัจกร"

ดังนั้น ตัวเงินไม่ใช่เป็นตัวกำหนดความดีความชั่วในความรู้สึกของคนทั่วไปปัจจุบันต้องบอกว่า "รับได้" จะมีข้อตำหนิก็เพียงบางรูปหรือบางวัดเท่านั้น หากจะแก้ไขก็ต้องแก้ไขเป็นจุดๆไป หากกำหนดให้พระทั้งหมดในประเทศไทยที่เป็นสายเถรวาทต้องปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยทั้งหมด ก็ต้องเป็นข้อตกลงของหน่วยงานขึ้นปกครองสูงสุดคือมหาเถรสมาคมร่วมกันโดยที่ฝ่ายรัฐเป็นฝ่ายสนับสนุนอย่างให้จัดให้มี "ไวยาวัจกร" คอยรับใช้มากขึ้น ก็อยู่ที่ว่าค่าใช้จ่ายในจุดนี้จะมาจากไหน

 ask1 ask1 ask1 ask1 ask1

และจะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐจะเห็นชอบตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ขึ้นมาทำหน้าที่ให้บริการพระเหมือนเป็น "ไวยาวัจกร" ทำหน้าที่รับบริจาคจากประชาชนที่มีจิตศรัทธาเพื่อให้เป็นของพระพุทธศาสนาโดยรวม พร้อมกันนี้จะต้องอำนวยความสะดวกในการเดินทาง อย่างเช่นแท็กซี่ออกบิลแล้วไปขึ้นเงินกับรัฐภายหลังและระบบขนส่งต่างๆก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน

เมื่อรัฐอำนวยความสะดวกให้กับพระเช่นนี้เรื่องการเก็บภาษีของพระก็คงจะต้องกล่าวถึง แต่ถ้าหากจะเก็บจริงก็คงเก็บจากพระที่เป็นส่วนน้อยซึ่งสามารถตรวจสอบได้ และจะต้องมีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะว่าตามประมวลรัษฎากรแล้ว อาจารย์ธนพล สุขมั่นธรรม ได้เขียนบทความเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์เว็บไซต์ธรรมนิติ (http://dha.co.th/index.php (http://dha.co.th/index.php)) ได้ระบุโดยสรุปว่า แม้พระถือว่าเป็นบุคคลธรรมดา แต่รายได้ที่พระมีนั้นถือเป็นรายได้โดย "เสน่หา" มีข้อยกเว้นตามมาตรา 42(10) แต่ถ้าเป็นได้รายได้จากเงินเดือนมหาวิทยาลัยหรือเงินที่ได้รับอุดหนุนจากทางงบประมาณแผ่นดินตามมาตรา40(1) ซึ่งปัจจุบันนี้พระท่านก็เสียอยู่แล้ว และวัดเองแม้จะเป็นนิติบุคคลไม่เข้าลักษณะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามนิยมมาตรา 39 จึงไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน

 :49: :49: :49: :49: :49:

ในชั้นนี้พระทั่วไปสบายใจได้ไม่ต้องเสียภาษีแน่นอน หากจะเสียก็แต่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจนหลังจากนั้นก็ต้องแก้ไขประมวลรัษฎากรอีกคงต้องใช้เวลานาน ก็พอจะอนุมานได้การเก็บภาษีพระเป็นไปได้หรือไม่ หรือว่าออกมาพูดเพื่อตีกินเท่านั้น ดังนั้นแนวทางที่จะสร้างความปรองดองในการปฏิรูปศาสนาอันดับแรกจะต้องยึดหลักธรรมคือสาราณียธรรม 6 คือทำพูดคิดต้องประกอบด้วยเมตตาเพราะก็เป็นชาวพุทธและเป็นมนุษย์ด้วยกัน หากจะพูดก็ต้องประกอบด้วยวจีสุจริต 4 ถ้าจะให้ดีควรนำหลักการตรัสของพระพุทธเจ้ามาประกอบด้วยจะดีมาก

เพียงเท่านี้บ้านเมืองไทยก็สงบแล้ว!!!


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150527/207031.html (http://www.komchadluek.net/detail/20150527/207031.html)