สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัมมะวังโส ที่ กรกฎาคม 31, 2015, 10:28:39 am



หัวข้อ: ความฉลาด เป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน แต่ก็เป็นคุณ ในญาณทั้ง 10 และมีค่าในบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ กรกฎาคม 31, 2015, 10:28:39 am
ความฉลาด เป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน
  แต่ก็เป็นคุณ ในญาณทั้ง 10
    และมีค่าในบารมี


  ตั้งใว้ให้ได้คิด กันสักนิด เดี๋ยวจะมาอธิบายตอนหลัง
  โครงการ ช่วงเข้าพรรษา ก็ คือ จะบันทึกเสียง

     กรรมฐาน 1 เรื่อง ต่อวัน ไม่รู้จะทำได้หรือป่าว หยุดพูดสดมาร่วมเดือนแล้ว
   เพราะว่าไปติด ไอ ค๊อก แค๊ก ก้เลยไม่บันทึกเสียง เนื่องด้วยสุขภาพไม่ปกติ
   พูดคุยกับหลายคน ก็จะเห็นว่า ไอ แค๊ก แค๊ก บ่อยขึ้น ...

   ดังนั้นฝากท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่าน ช่วยกันวิเคราะห์ ในสิ่งที่เปิดกระทู้ไว้ กันสักนิด เดี๋ยวจะเข้ามาอ่าน ไปเรื่อย ๆ


   ;)


หัวข้อ: Re: ความฉลาด เป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน แต่ก็เป็นคุณ ในญาณทั้ง 10 และมีค่าในบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: nirvanar55 ที่ กรกฎาคม 31, 2015, 03:30:08 pm
ผมว่า ไม่ น่า จะใช่ นะครับ เพราะ เรื่องสมาธิ พระพุทธเจ้า ตรัสเรื่อง ความฉลาด ในสมาธิ ไว้ด้วย ครับ
ดังนั้น ความฉลาด ไม่น่าจะเป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน ครับ

  :smiley_confused1: :49:


หัวข้อ: Re: ความฉลาด เป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน แต่ก็เป็นคุณ ในญาณทั้ง 10 และมีค่าในบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: modtanoy ที่ กรกฎาคม 31, 2015, 03:31:14 pm
จะแปรพักตร์ หรือ ถึงมาตั้งคำถาม ส่งเสริม ทางนี้อีก
  :signspamani: :49:


หัวข้อ: Re: ความฉลาด เป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน แต่ก็เป็นคุณ ในญาณทั้ง 10 และมีค่าในบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: wiriya ที่ กรกฎาคม 31, 2015, 08:22:05 pm
คนฉลาด มันอวดดี และ เลือกข้าง แต่บางครั้ง ก็ไม่ได้เฉลียว

  หมายความอย่างนี้ใช่หรือไม่ ครับ

   :49: :25:


หัวข้อ: Re: ความฉลาด เป็นอุปสรรค ในกรรมฐาน แต่ก็เป็นคุณ ในญาณทั้ง 10 และมีค่าในบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กรกฎาคม 31, 2015, 08:42:37 pm
(https://sites.google.com/a/thanyarat.ac.th/supawit/_/rsrc/1435035616349/home/karxbrmkhorngkarykradabphlsamvththithangkarreiyn/02%2840%29.jpg?height=168&width=320)                              (http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.aspx?id=3444937)

คนฉลาดมักถือดี ด้วยความเป็นผู้ใคร่ครวญมาก ข้องในอรรถอยู่เนืองๆ และ แย้งคำครู สิ่งใดอันตนเพียรแล้วชอบ ผู้อื่นยกแล้วให้เป็นครู แม้มุนีผู้แจ้งแล้วกล่าวคนฉลาดย่อมใคร่ครวญหนักจิตหยั่งตามยากจึงล่าช้าทอนตัวเอง ซึ่งก็ไม่แปลก แม้ในฐานะแห่งอัครสาวกขวา "อุปติสสะปริพาชก" นั้น ท่านมีอุปนิสัยเยื่องอย่างนี้มาครั้งแต่ได้พบ "อโนมทัสสีพุทธเจ้า" นั้นแล้ว อีกท่านที่จักกล่าวคือ "พระโมฆะราช" หนึ่งในสิบหกมานพศิษย์พราหมณ์พาวรีท่านผู้นี้ถือดีชิงถามคำถามถัดลำดับอชิตะมานพศิษย์พี่แต่พระบรมศาสดารั้งท่านไว้ท้ายก่อนปิงคิยะมานพ ผมพอระลึกได้ในเถระสองรูปนี้ท่านหนึ่งนั้นปัญญามาก ใคร่ครวญมาก จึงล่าช้า อีกท่านถือดีไม่ใคร่ครวญ พระเถระสองรูปในความต่าง แต่คล้ายกันในสิ่งเดียวคือ ใคร่ครวญ ที่ผมกล่าวยกมาก็ด้วยครูอาจารย์ท่านกล่าวสอนว่า สาวกบารมีนั้นปัญญาให้มีไว้ก่อน มีศรัทธาแล้วมีศีลดำเนินไป สมาธิเป็นที่สุด แต่เราท่านนั้นมากใช่น้อยที่ศึกษาปัญญามากก็ขวางตนเองสมาธิไม่เอา ภาวนาไม่จำเป็น ชีวิตจึงล้มลุกคลุกคลาน พลั้งแล้วพลาดอีก ช้ำชอกเรื่อยร่ำไป เหตุเพราะใจไม่หนักนิ่งไม่ภาวนา ปัญญาพาตัวปลักจมเป็นเหยื่อเลือดให้ปลิง นี้เพียงกล่าวถึงไนยชนที่โอกาสยังมีนะครับ!