สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กันยายน 18, 2015, 08:59:08 am



หัวข้อ: สวดมนต์...เป็น "ยาทา"
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 18, 2015, 08:59:08 am

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2015/09/act01160958p1.jpg)

สวดมนต์...เป็น "ยาทา"

ในปี 2558 กลุ่มประเทศเอเชีย 10 ประเทศ จะเข้าสู่ยุค AEC ซึ่งประกอบด้วย สามเสาหลักคือ ประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ประชาคมการเมืองและความมั่นคง เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

ขณะนี้บางประเทศ การเมืองภายในประเทศคุกรุ่น มีการปฏิวัติรัฐประหาร กำลังจะออกกฎหมายรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับใหม่ ซึ่งก็ยังไม่ลงตัวทีเดียว บางประเทศก็เร่งถีบตัวเข้าสู่ในระบอบประชาธิปไตย เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จะจัดให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ในเร็วๆ นี้ ภายใต้หลักคิด และหลักการ "ประชาชน" 1 คน มี 1 สิทธิ 1 เสียง เท่ากันหมด

ความเจริญมีมากเท่าใด สปีดความเร็วมีผลต่อจิตใจตามไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงย่อมทำให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะ "ผู้นำ" หรือ "ผู้บริหาร" ของประเทศ เกิดในสภาวะการแก่งแย่งชิงอำนาจ ชิงความเป็นหนึ่ง ในสภาวะความหน้ามืดตามัวของอวิชชา การยึดติดก็ทำให้เกิดการก่อตัวแห่งความโลภ โกรธ หลง จะเอาชนะคะคานกันให้ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ "ประชาชน" ของแต่ละประเทศ หาความสุขไม่ได้

 :96: :96: :96: :96:

เพื่อส่งเสริมให้ทุกๆ คนมีความสุขโดยทั่วหน้ากัน ที่มีอยู่แล้วก็ขอให้มีมากๆ ขึ้น เพราะความปรารถนาของคนเรานั้น คือ "ความสุข" นี่เอง โดยปกติคนเราความปรารถนากับความประพฤติไม่ตรงกัน ตั้งความปรารถนาใช้ทางหนึ่ง แต่กลับประพฤติไปเสียทางหนึ่ง เช่น อยากร่ำรวย ก็ชอบที่จะขยันหมั่นเพียร กลับตั้งหน้าเล่นการพนัน หรืออยากหาความบันเทิงใจ แทนที่จะหาโดยวิธีที่ไร้โทษ กลับไปเสพสุราเมรัย เที่ยวเตร่แสวงหาโรคภัยมาใส่ตัว เช่นนี้ย่อมพลาดพลั้งเป็นธรรมดา

ด้วย "เวลา" กับความเป็นอยู่ที่เร่งรัดภาระงานมาก ก็มักจะบ่นว่า "ยุ่งมาก" เวลาน้อย ยิ่งเวลาที่จะให้กับตัวเองในการดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวยิ่งน้อยใหญ่
     ยิ่งบอกว่าออกกำลังกายบ้างไหม.?
     มักจะบอกว่าไม่มีเวลา งานยุ่ง บางคนไม่มีเวลาดูแล "ลูกเต้า" ปล่อยให้ "คนใช้" เลี้ยงดู
     ยิ่งหากถามว่า ได้ "ทำบุญ" บ้างไหม.?
     ก็จะยิ่งต้องนึกว่าทำบุญอะไรนะ.? อย่างไร.? มันคืออะไร.?
     ส่วนใหญ่คนเรามักจะตอบตัดบทไปง่ายๆ บุญอะไรก็ไม่รู้ โอ๊ยไม่มีเวลาหรอก เวลาจะกิน จะนอนหลับพักผ่อนยังไม่มีเลย...
     นั่นคือ เหตุการณ์หนึ่งของคนหลายคนในสังคมคนไทยเราจะพบได้ทั่วๆไป

 :49: :49: :49: :49:

ผู้เขียนอยากบอกว่า "คนเรา" เกิดมาเป็นตัวเป็นตน หลังจากแม่ให้กำเนิดชีวิตตัวตนให้กับ "เรา" คนที่จะดูแล "ร่าง" ได้ดีที่สุดคือ "ตัวเรา" เท่านั้น คนอื่นทำให้ไม่ได้ เหมือน "ร่างกาย" ของเราก็ต้องดูแลบำรุงทะนุถนอมเขาไว้ในเรื่อง "ปัจจัย 4" : อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค... และอื่นๆ

ที่เป็นสาระแก่ร่างกาย เช่น การออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ การสร้างอารมณ์ที่ดีให้จิตใจของเรา ละเว้นสิ่งที่เป็น "ยาพิษ" ทำลายร่างกาย ฆ่าตัวเรา บั่นทอนตัวเรา เช่น เหล้า บุหรี่ การสำส่อนทางเพศจนติดเชื้อ HIV เป็นเอดส์ เป็นต้น การสร้างความดีให้แก่ตน "ผลกำไร" เป็นความดี ชีวิตเกิดผลผลิตเพื่องอกงามแก่ชีวิตเรา และเพื่อนร่วมชาติเราต้อง "สร้างเอง"

     พอพูดถึงเราทำบุญ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง "การตักบาตร" หรือ "เข้าวัดทำบุญ" เป็นส่วนมาก
     เราจะไม่ค่อยมีเวลาตักบาตรพระ หรือเข้าวัดทำบุญ ก็เลยเสียโอกาส "สะสมบุญ" ของเรา

     ในการสร้างบุญสร้างกุศล สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือมีเวลาน้อย แต่บางท่านมีเวลาทำเป็นนิจเป็นปกติอยู่แล้ว แต่มีเกร็ดหรือ "ของดี" มาฝากให้เพื่อนๆ ร่วมโลกเกิด "ศรัทธา" เชื่อมั่นใจและทำให้ถูกเสียแล้วชีวิตเราจะ "ดีเอง" ว่านั่นคือ "การสวดมนต์ไหว้พระ" เป็นธรรมประจำชีวิตจะสร้างความดี เกิดความเป็นมงคลแก่ชีวิตเรา และครอบครัวอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์

 :25: :25: :25: :25:

เชื่อว่า "ที่บ้าน" ของทุกท่าน จะต้องมีหิ้งบูชาหรือโต๊ะหมู่บูชา แต่ถ้าไม่มีให้หารูป "พระ" มาติดที่ฝาผนังบ้านก็ได้ จากนั้นให้เราหาขัน หรือกระปุกออมสินหรือบาตรพระพลาสติก ทุกวันขอให้เราทุกคนสละเวลาเพียงวันละประมาณ 20-30 นาที สวดมนต์ไหว้พระ เวลาไหนก็ได้ที่เราว่าง เราสบายใจที่จะทำจะเป็นเวลาเช้า-สาย บ่าย-เย็น หรือก่อนนอนก็ได้ โดยเริ่มสวดจากบท

     อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ
     อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชายามิ
     อิมินา สักกาเรมะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ

    อะระหัง สัมมาสัมพุทใธ ภะคะวา พุทธัง
    ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ (กราบ)

 st12 st12 st12 st12

ต่อไปก็ตั้ง : นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาพุทธัสสะ (3 จบ) ระหว่างตั้งนะโม ก็ให้เอาเหรียญเงินมาไว้ที่มือ จะกี่บาทก็ได้ เช่น 1 บาท 5 บาท 10 บาท หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ ตามแต่ความศรัทธา จากนั้นก็เริ่มสวด

     พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
     ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
     สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
     ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
     ทุติยัมปิ ธังมัง สะระณัง คัจฉามิ
     ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
     ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
     ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
     ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ต่อจากนั้นก็เริ่มสวดบท "พระพุทธคุณ" (อิติปิโส ภะคะวา ฯลฯ)
    บทพระธัมมคุณ (สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ฯลฯ)
    บทสังฆคุณ (สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ)

     :25: :25: :25: :25:

    ถ้ามีเวลา : ให้สวดบท พาหุงมหากา ฯลฯ ต่อจบแล้วให้กลับมาสวด บท "พุทธคุณ" บทเดียว 9 จบ หรือเท่าอายุบวกหนึ่ง
    ถ้าไม่มีเวลา : ให้กลับมาสวดบท "พระพุทธคุณ" บทเดียว 9 จบ หรือเท่าอายุบวกหนึ่ง

    ต่อจากนั้น...ตั้ง "สมาธิจิต" สักพักหนึ่ง แล้วอธิษฐานจิต อธิษฐานจิตเสร็จเอาเงินที่เราจบไว้ที่มือใส่เข้าไปในภาชนะที่เตรียมไว้ที่หิ้งพระ หรือที่โต๊ะหมู่บูชาเสร็จแล้วแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง ทำอย่างนี้ทุกวันอย่าให้ขาด

    st11 st11 st11 st11

ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือ "ธรรมโอสก" ของพระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ได้ให้เกร็ดความรู้เพิ่มเติม ซึ่งนับว่ามีประโยชน์อย่างมาก

ประเด็นสำคัญยิ่งขณะเราสวดมนต์อยู่นั้น เราสวดมนต์บูชาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ขณะที่สวดนั้น ท่านบอกว่า จิตเราก็นอบน้อมอยู่กับคุณพระรัตนตรัย ขณะนั้น จิตเราก็มี พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ได้แล้วกรรมฐาน 3 กอง

    "ขณะสวดมนต์อยู่นั้นเราสวดมนต์ด้วยจิตนี้มีอาการสำรวม มีความตั้งใจในการสวดเป็นอาการของการกำหนดให้มี "สมาธิ" ได้สมาธิแล้วเบื้องต้น ขณะสวดมนต์ด้วยจิตที่มีอาการสำรวม มีความตั้งใจจิตของเราก็คอยนึกถึง ระวังมิให้หลงลืมในบทสวด ขณะที่เราทำนั้นเป็นอาการของกำหนดจิตของเราให้ "มีจิต" ได้ฝึกการมี "สติ" ในการสวดมนต์ไปในตัว ขณะที่เราสวดมนต์ตั้งจิตเป็น "สมาธิ" อธิษฐานจิตเอาเงินที่จบใส่ลงไปในภาชนะที่ได้เตรียมไว้เป็น "ทานบารมี" ..."อธิษฐานบารมี" ซึ่งก็วกเข้ามาเรื่องของ "บารมี 30 ทัศ"

     :25: :25: :25: :25:

    "บารมี" แปลว่าอะไร.?... แปลว่า "กำลังใจ" ซึ่งประกอบด้วย :-

    1. ทานบารมี 2. ศีลบารมี 3. เนกขัมมบารมี
    4. ปัญญาบารมี 5. วิริยะบารมี 6. ขันติบารมี 7. สัจจะบารมี
    8. อธิษฐานบารมี 9. เมตตาบารมี 10. อุเบกขาบารมี

     หากมีคำถามว่า การที่เราสวดมนต์เพียงไม่กี่นาทีตรงนี้ เราจะได้บารมีอะไรบ้าง?...
     ขณะที่เราสวดมนต์เสร็จเราทำทาน คือ เอาเงินที่จบใส่ในขัน ฯลฯ เป็น "ทานบารมี"
     ขณะที่เราสวดมนต์อยู่จิตเราปรารถนาจากนิวรณ์มารบกวนใจถือว่าเป็นการบวชใจ เป็น "เนกขัมมบารมี"
     ขณะที่สวดมนต์เราทำด้วยศรัทธาทำด้วยปัญญา เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ ช่วยฝึกจิตใจให้เกิด "สติ" มี "สมาธิ" เป็น "ปัญญาบารมี"

     ถ้าเราไม่มีความเพียร เราก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเพียรเป็น "วิริยะบารมี"
     มีความเพียร มีความอดทนแล้ว และมีสัจจะในการกระทำ หมายถึง ความจริงใจในการประพฤติปฏิบัติ เรียกว่า "สัจจะบารมี"

     เมื่อเราสวดมนต์ทำสมาธิ ตั้งจิตอธิษฐาน การอธิษฐานเป็น... "อธิษฐานบารมี"
     ใส่บาตรเสร็จ ก็ต้องแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้การแผ่เมตตาเป็น... "เมตตาบารมี"
     ขณะแผ่เมตตาเราต้องทำใจให้เป็นเมตตา ทำให้เป็นพรหมวิหารอุเบกขา อโหสิกรรมกับบุคคลที่เราเคยล่วงเกิน ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ชอบ ไม่ชังใคร ทำใจให้นิ่ง จิตใจร่มเย็น วางใจให้เป็นอุเบกขา เป็น.."อุเบกขาบารมี"    

     จะเห็นได้ว่า เพียงแค่สวดมนต์เพียงไม่กี่นาที เราก็ได้บารมีครบถ้วน และสิ่งเหล่านี้จะสะสมอยู่ในจิตใจเราทีละน้อยๆ เหมือนเราสะสมเงินวันละ 1 บาท 30 วัน ก็ได้ 30 บาท แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย...ก็ไม่ได้อะไรเลย

     ans1 ans1 ans1 ans1

     ผู้เขียนอยากเชิญชวนเพื่อนสมาชิกมติชนทุกท่านหรือคนไทย 64 ล้านคน ถ้ายังไม่ทำก็ให้ "เริ่มทำ" เสียแต่วันนี้ หรือถ้าทำแล้วก็พอกพูนให้เข้มยิ่งขึ้น เชื่อว่า...
      "ทำแล้วจิตมีสมาธิขึ้น มีสติดีขึ้น จากคนที่ใจร้อนก็ทำให้"...จิตใจมีอารมณ์เยือกเย็นขึ้น...จะคิดจะทำอะไรก็รู้สึกว่าคล่องตัว สะดวกใจ มีแต่คนเมตตาให้ความช่วยเหลือ...เหมาะสำหรับคนที่บอกว่าไม่ค่อยมีเวลาทำบุญตักบาตรหรือเข้าวัด...ก็เชิญชวนให้ "ท่าน" พร้อมสมาชิกในครอบครัว ได้สวดมนต์กันทุกคนทุกครอบครัว เพื่อเป็นสิริมงคล จะเกิดฐานะดี มีปัญญา จะได้มีความสุข ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นในชีวิต...

      ที่สำคัญ "หลวงพ่อจรัญ" ท่านบอกว่า ลูกหลานจะเป็นคนมีระเบียบวินัย ลูกหลานจะไม่เถียง เคารพเชื่อฟัง รู้จักเด็กหรือผู้ใหญ่ เมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวจะเป็น "ลูกหลาน" ที่ดีของพ่อแม่  เป็น "พลเมือง" ดีของสังคมและประเทศชาติในที่สุดนะครับ

       นพ.วิชัย เทียนถาวร
       อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข


ที่มา : มติชนรายวัน 16 ก.ย.2558
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442396505 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442396505)