หัวข้อ: สยามเป็นประเทศเดียวที่คนจีนเคยเป็นกษัตริย์..เป็นประเทศเดียวที่สูญเสียความเป็นจีน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 18, 2015, 07:07:25 pm (http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000010844202.JPEG) ภาพปก: ประวัติศาสตร์ไทย-จีน โดย เจฟฟรี่ ซุง และ พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร อ่าน ประวัติศาสตร์ไทย-จีน และตระกูลเชื้อสายจีน-สยาม ชนเชื้อสายจีน หรือ “ลูกจีน” ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาช้านานนับตั้งแต่สมัยอยุธยา จวบจนปัจจุบัน มองไปรอบๆ ทุกระดับชั้นสังคมทุกแวดวงทุกภาคเศรษฐกิจการค้า หรือแทบจะกล่าวได้ว่าทุกตรอกซอกซอยในประเทศไทย ล้วนประกอบด้วยกลุ่มเชื้อสายจีน ปรากฏการณ์เหล่านี้ดูกลายเป็นความชินตาและเคยชินในความรู้สึกของคนไทยในยุคปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-จีนขึ้นมาคราใด จึงมักอ้างถึงคำกล่าวว่า “ไทย-จีน มิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” โดยที่หลายๆคนก็ฟังกันจนชินหูไปเช่นกัน ทว่า เมื่อหันมามองลึกลงไปแล้ว ปรากฏการณ์ในสังคมใด ย่อมมีรากเหง้า ที่ก่อเกิดของความผูกพัน ความเกี่ยวข้องกันระหว่างกลุ่มต่างๆอย่างกลุ่มเชื้อชาติไทย-จีนที่จะกล่าวในที่นี้ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนในชั่วกาลเพียงไม่กี่สิบปี ไทยกับจีนมีประวัติศาสตร์ร่วมกันที่เป็นมรดกตกทอดอยู่ในทั่วทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม วัฒนธรรม ผสานกลมกลืนกันดั่งสองสายน้ำไหลรินมาสบเป็นท้องธารเดียวกัน ณ แผ่นดินไทย ask1 ans1 ask1 ans1 ““สยามเป็นประเทศเดียวที่คนจีนเคยเป็นกษัตริย์ แต่ก็เป็นประเทศเดียวที่พวกเขาสูญเสียความเป็นจีน” ” คำกล่าวของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ บุคคลที่ท่านอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้กล่าวอ้างถึงข้างต้นคือ พระยาตาก ผู้มีบิดาเป็นชาวจีน มารดาเป็นชาวไทย และได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งรัชสมัยกรุงธนบุรีเมื่อปี พ.ศ. 2310 ช่วงยุคพระเจ้าตากสินนั้น เป็น “ศตวรรษแห่งจีน” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างศตวรรษที่ 18 จีนได้เข้ามามีบทบาทพัวพันและอิทธิพลในกิจการการเมืองในรัฐต่างๆย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงระดับขีดสุดอย่างมิเคยปรากฏมาก่อน ปรากฏการณ์กษัตริย์เชื้อสายจีนแห่งสยาม คือพระยาตากนั้น เป็นเครื่องสะท้อนอย่างดีถึงการเข้ามามีบทบาท หยั่งรากลึกในการเมืองของรัฐต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีพระยาตาก หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น ทรงความสำคัญและลึกซึ้งที่สุด ทว่า ก็มิใช่ครั้งแรกที่ชนเชื้อสายจีนได้เข้ามามีบทบาทอำนาจในแวดวงอำนาจการเมืองสูงสุดของสยาม จากบันทึกของพ่อค้าชาวดัชต์ Jeremais van Vliet ระบุเมื่อปี พ.ศ. 2183 ว่าท้าวอู่ทอง ผู้สถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา(พ.ศ.1894-2310) มาจากจีน ในยุคต่อมา กลุ่มเชื้อสายไทย-จีน ก็มีบทบาทในวงการเมืองระดับสูงของไทยจวบจนถึงช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ และมีบทบาทโดดเด่นในแวดวงอุตสาหกรรม ภาคการเงิน และภาคการค้า :96: :96: :96: :96: :96: บทบาทจีนในประเทศไทยมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ลูกจีนเข้ามามีบทบาทอิทธิพลสูงถึงเพียงนี้ในประเทศที่พวกเขาอพยพเข้ามาตั้งรกรากได้อย่างไร ? รัฐ-ชาติทุกวันนี้ที่ประกอบด้วยหลายเชื้อชาตินั้น มิใช่เรื่องธรรมดาเลย...ที่ชนชาติส่วนน้อยจะขึ้นมาครองอำนาจและอิทธิพลสูงเช่นนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? การเข้าใจปรากฏการณ์จีนในไทย จะต้องเข้าใจลักษณะเงื่อนไขทางการเมืองของสองชาติ ความใกล้ชิดทางภูมิรัฐศาสตร์ของสองดินแดน ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างจีนกับอาณาบริเวณ และที่มาที่ไปของการที่จีนได้แทรกซึมสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ans1 ans1 ans1 ans1 ข้อความห้าย่อหน้าข้างต้นนี้เป็นเนื้อหาบทเปิดของบทแรกใน A History of The Thai-Chinese, By Jerrery Sng And Pimpraphai Bisalputra เป็นคำอธิบายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ และคำถามที่น่าสนใจกระตุกความใคร่รู้ของปรากฏการณ์ไทย-จีน ที่เชื่อมโยงไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคำตอบนั้นอยู่ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ ไทย-จีน” เล่มนี้ A History of The Thai-Chinese เขียนโดย Jerrery Sng And Pimpraphai Bisalputra นับเป็นแหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ไทย-จีน ชิ้นล่าสุด ที่เพิ่งเผยแพร่ในปีนี้ ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสารนับร้อยๆแหล่ง และบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ไทย-จีน เล่มเขื่องนี้ :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144: เนื้อหาหนังสือ A History of The Thai-Chinese รวบรวมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สยาม-จีน กว่า 600 ปี จากสมัยกรุงศรีอยุธยา สู่ยุคกรุงธนบุรี สู่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น และยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในสยาม (2475) ถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไทยและจีนได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกันเป็นครั้งแรกระหว่างรัฐบาลเจียง ไคเช็ค และรัฐบาล มรว.เสนีย์ ปราโมช ในปี พ.ศ. 2489 โดยมีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศสยามคนแรก และบทสุดท้ายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-จีนในบริบทการเมืองโลกหลังยุคสงครามเย็นที่มหาอำนาจสหรัฐอเมริกาโดยผู้นำประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ เหมา เจ๋อตง หันมาจับมือกัน ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั่วโลกอย่างทั่วถ้วนหน้า เนื้อหาในแต่ละบทได้บรรยายเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองภายในของทั้งสองประเทศไทยและจีน อันเป็นเหตุปัจจัยของการดำเนินความสัมพันธ์ฯ โดยมีใจกลางอยู่ที่ระบบส่งบรรณาการหรือจิ้มก้องไปถวายแด่พระเจ้ากรุงจีน และการค้าสำเภาที่ก่อให้เกิดการอพยพโยกย้ายถิ่นสู่ดินแดนต่างๆของชาวจีนจำนวนมหาศาลในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังได้รวบรวมข้อมูลสายตระกูลเชื้อสายจีน ที่มีบทบาทสำคัญและเป็นพลังขับเคลื่อนสยามจากยุคการค้าสำเภา เป็นการเผย “ใครเป็นใคร” ในปูมกลุ่มตระกูลเชื้อสายจีนอย่างครบครันและเจาะลึก ans1 ans1 ans1 ans1 “ในการเขียนหนังสือ The History of Thai-Chinese เล่มนี้ แตกต่างจากเล่มอื่นๆ ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการสร้างวีรบุรุษจากบุคคลคนเดียว จึงได้บันทึกบทบาทของคนจีนในการกอบกู้ชาติ นอกจากพระยาตากแล้ว จากพงศาวดารบางฉบับระบุกองทัพที่ไปตีค่ายโพธิ์สามต้น มีทัพจีนเป็นทัพหน้า โดยมีแม่ทัพลูกจีน คือ พระยาพิพิธ พระยาพิชัย นอกจากนี้เอกสารของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสก็ระบุว่าถ้าไม่ได้ความขยันและความมุ่งมั่นของลูกจีนแล้ว สยามก็จะกลับมาฟื้นตัวได้ช้ากว่านี้ เอกสารไทยไม่เคยดูถูกคนจีนเลย” อาจารย์ พิมพ์ประไพ กล่าวในการให้สัมภาษณ์แนะนำหนังสือฯ :49: :49: :49: :49: ข้อมูลหนังสือ ชื่อหนังสือ A History of The Thai-Chinese ผู้เขียน Jerrery Sng And Pimpraphai Bisalputra สำนักพิมพ์ Editions Didier Millet ฉบับภาษาอังกฤษ (ปกแข็ง) พิมพ์ครั้งแรก 2558 จำนวนหน้า 447 หน้า ราคา 1,295 บาท ISBN 9789814385770 (http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000010844201.JPEG) พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2558 เกี่ยวกับผู้เขียน เจฟฟรี่ ซุง (Jerrery Sng) และ พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร (Pimpraphai Bisalputra) ได้อุทิศชีวิตในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและจีน สำหรับซุงได้ศึกษาด้านปรัชญาและวรรณกรรม ที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อ ณ สถาบันศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา ซุงอาศัยในกรุงเทพฯเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เขียนบทความเกี่ยวกับการอพยพโยกย้ายถิ่นของชาวจีน, ชุมชนธุรกิจจีน-ไทย, ศิลปะหัตกรรมจีน, ชุมชนชาวจีน, และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้ พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร สำเร็จการศึกษา London School of Economics & Political Science และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล มีผลงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องจีนฉบับภาษาไทย ได้แก่ สำเภาสยาม : ตำนานเจ๊กบางกอก (2544), นายแม่ (2546), ลูกจีนหลานมอญในกรุงสยาม (2547) และกระเบื้องถ้วย กะลาแตก (2550) พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร ผู้เป็นบุตรีของธะนิต พิศาลบุตร และประไพ (หวั่งหลี) พิศาลบุตร ได้ศึกษาค้นคว้าและเขียนงานประวัติศาสตร์ไทย-จีนจากจิตวิญญาณสายเลือด “ลูกจีน” ต้นตระกูลพิศาลบุตรคือ พระยาพิศาลศุภผล (ชื่น) ผู้นำเครื่องลายคราม ได้แก่ เครื่องกระเบื้องกังไสและปั้นชาจีนยี่ห้อโปจูลี่กี่ เข้ามาขายในกรุงสยามช่วงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ถึงปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (2370-2450) เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการค้าสำเภาสมัยรัชกาลที่ 4 คุณ ธะนิต พิศาลบุตร เป็นนักสะสมเครื่องกระเบื้องถ้วยลายครามโบราณ กอปรด้วย สายสกุลมารดา “หวั่งหลี” ที่มีบทบาทโดดเด่นในการค้าสำเภาเช่นกัน ส่งให้พิมพ์ประไพมีต้นทุนด้านความรู้ข้อมูลชั้นหนึ่ง กอปรด้วยการค้นคว้าข้อมูลอย่างวิริยะอุตสาหะดังที่เห็นในรายชื่อเอกสารอ้างอิงในหนังสือ ตลอดจนพรสวรรค์ในการถ่ายทอดเล่าเรื่องราว ทำให้งานเขียนประวัติศาสตร์ของท่านมีอรรถรสมีเสน่ห์น่าอ่านยิ่ง ขอบคุณภาพและบทความจาก http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000105241 (http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000105241) หัวข้อ: Re: สยามเป็นประเทศเดียวที่คนจีนเคยเป็นกษัตริย์..เป็นประเทศเดียวที่สูญเสียความเป็นจีน เริ่มหัวข้อโดย: saichol ที่ กันยายน 18, 2015, 07:16:54 pm like1 like1 like1
|