หัวข้อ: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ กันยายน 22, 2015, 10:40:24 am (http://www.madchima.org/kid/images/forimg58/Pic58-01.jpg)
"อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... ปี 2551 ในปีนั้น ฉันมีคนนับถือมากขึ้น จากจำนวนหลักหน่วย เป็นหลักร้อย และขึ้นเป็นหลักพัน มีคนที่มีทั้งเกรียติ ความรู้ ฐานะ ทุกชั้น ทุกวรรณะ ต่างเข้ามาหา มากราบ มาไหว้ และกล่าวสรรเสริญบ้าง บางคนก็น้อมศรัทธานำสักการะ มาให้ บางท่านก็มาอยู่คอยรับใช้ และ อีกสาระพัด ในตอนนั้น กิเลสที่มันเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องใหญ่ ในคือความมานะ ว่าเราคือ ครูอาจารย์ ที่มีความสำคัญ ที่ถ่ายทอดธรรม แก่สาธุชน ที่สมควรเราเป็นครูอาจารย์ ที่หาได้ยาก อันมีได้ยากในยุคปัจจุบัน ความสำคัญอย่างนี้ เกิดข้องขึ้นในใจ พร้อมกับเหตุการณ์หลากหลายที่ปนเปกัน คืนนั้นครูของฉัน ท่านเดาใจ หรือ รู้ใจฉัน ว่า ความคิดอันลามก นี้ ได้เกิดขึ้นแล้วว่า ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ ย่อมเกิดมีแก่ บุคคลที่หาได้ยากยิ่ง สำคัญยิ่ง ดั่งเช่นเรา เราเป็นเนื้อนาบุญแห่งชนทั้งหลาย ที่หายาก ดั่งนี้ ครูของฉัน ได้กล่าวว่า อัสสมิมานะ ได้เกิดแก่เอ็งแล้ว ตอนนั้นคำพูดนี้ เหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงที่กลางใจ ของเราขณะนั้นว่า กิเลสที่ประหารแล้ว ยังประหารไม่ได้หรือ ครูเราท่านจึงได้พูดกับเราอย่างนี้ อย่างนั้น เรา กระผมควรจะทำอย่างไรครับ ครู เอ็งต้องอยู่วิเวก พิสูจน์ใจตนเองเสีย เพื่อทำลาย อัสสมิมานะ นั้นเสีย ลาภก็ดี สักการะก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี แม้สุขก็ตาม จะไม่เกิดมีแก่เอ็ง ในขณะที่ต้องเป็นครูที่ไม่ได้อะไรนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ ทำลายอัสสมิมานะ นั้น เรา อย่างนั้นกระผมจะขออยู่วิเวก จนกว่า หลวงปู่จะให้ผมออกจากวิเวกครับ ครู จงทำตามนั้น การวิเวก จึงเกิดขึ้นเป้าหมายจริงก็คือการละอัสสมิมานะ ความเห็นว่าเรานั้น เลิศ เรานั้น ดี เรานั้น เยี่ยม เรานั้นโชคดี เรานั้นประเสริฐกว่า เรานั้นหายาก เรานั้นเป็นยิ่งกว่า เป็นต้น อัสสมิมานะ กับ อวิชชา อยู่ใกล้กันมาก นักภาวนาทั้งหลาย มักหล่นลงที่ตรงนี้ เสียกันที่ตรงนี้ เวลาเราทำความดี เราก็อยากอวดความดี แต่ผู้ละอัสสมิมานะ แม้ทำความดีจนตัวตาย ก็ไม่หลง หรือ พูดชมในความดี ของตนที่ทำ เลยกลายเป็น บุคคลที่ทำกุศล ได้ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ไม่ต้องมา อุทธัจจะ ยึดถือว่า นั่นความดีของฉัน นั่นคือสิ่งที่ฉันทำเพื่อประโยชน์ของมหาชน คนทั้งหลาย พึงรู้จักฉันในฐานะผู้ทำ ผู้บอก ผู้สร้าง ผู้บุกเบิก ในความดีเหล่านั้น ดังนั้นท่านทั้งหลาย การปิดทองหลังพระ ก็คือ การทำกุศลโดยที่ไม่ได้หวังให้ใคร มาเข้าใจท่าน เห็นความดีในตัวท่านทั้งหลาย ไม่ใช่ทำเพื่อให้ใครมาสรรเสริญ เยินยอ เดินตาม ใครจะเป็นเช่นไรก็ไม่ได้สนใจว่า จะมารับทราบ ถ้าหากท่านทั้งหลายกระทำได้เยี่ยงนี้ ก็ชื่อว่า ได้เดินตามรอยเท้าแห่งครู กิเลสที่ละได้ยาก เป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนละ อวิชชา ก็คือ มานะสังโยชน์ และ อุทธัจจะสังโยชน์ ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงสร้างธรรมทาน โดยมิต้องหวังผลในโลกธรรม แต่จงสร้างธรรมทาน เพื่อ มรรค ผล นิพพาน เสียเถิด จะทำให้ท่านถึงแก่นสาร สิ้นสังสารวัฏ ได้จริง" ข้อความบางส่วนจาก หนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม บันทึกการภาวนาและการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส หัวข้อ: จงมองโลกนี้ โดยความเป็นของว่างเปล่า เถิด เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ กันยายน 22, 2015, 10:46:41 am มี ลาภ ก็ เสื่อม ลาภ
มี ยศ ก็ เสื่อม ยศ มี สุข ก็ มี ทุกข์ มี สรรเสริญ ก็ มี นินทา ไม่มี อะไร ก็ ไม่ใช่ จะไม่มี มี อะไร ต่อ อะไร ก็ใช่ว่า จะมี มี และ ไม่มี เป็นเพียง สภาวะ ที่ ใจ เข้าไปยึดถือ ว่า มี หรือ ไม่มี พระพุทธเจ้า ตรัสกับ โมฆราช ว่า ดูก่อน โมฆราช เธอจงมองโลกนี้ โดยความเป็นของว่างเปล่า เถิด เมื่อท่าน สำเร็จ เป็นพระอรหันต์ ท่านจึงยินดี ในจีวรที่เศร้าหมอง ได้รับการแต่งตั้ง ว่าเป็นเลิศในการครองจีวรเศร้าหมอง นั่นเอง เจริญธรรม / เจริญพร หัวข้อ: ไม่สำเร็จธรรม เพราะเขาเหล่านั้น พากเพียร แต่ในความทุกข์ เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ กันยายน 22, 2015, 10:56:55 am กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
ธรรมส่วนสูง ที่จะทำให้ธรรม เจริญต่อไปได้ นั่นก็คือ สุข แต่หลาย ๆ ท่าน และ อีกหลาย ๆ ต่อ หลาย คน ก็ยังวนเวียน ซ้ำซาก กระทำอยู่แต่ในความทุกข์ ซึ่งเป็นของเผ็ดร้อน อาศัยธาตุดิน คือ กาย และ ธาตุไฟ เป็นกำลัง ดังนั้นผู้ภาวนาอยู่แต่ส่วนล่าง เขาทั้งหลายเหล่านั้น จึงพบแต่ความทุกข์ เป็นหลักชัย จริงอยู่ ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องกำหนด และ ต้องรู้ และควรกระทำ แต่ ความทุกข์ เป็นธรรม แห่งปัญญาวิมุตติ เขาทั้งหลายเหล่านั้น ผู้หมายมั่นใจว่า เราเป็น เจโตวิมุตติ ก็ยังกระทำการภาวนา วนเวียนอยู่ ในความทุกข์นั้น อย่างเขลาเช่นเดิม ท่านทั้งหลาย มีสติ รู้ตัวหรือยัง ทำไม ท่านจึงสาระวน อยู่แต่ในทุกข์ ไม่ถึง สุข ในกาย และ ใจ ของตนเอง เป็นเพราะท่านทั้งหลาย ยังเลือกที่จะอยู่กับความทุกข์ นั่นเอง ไม่ยอมที่จะออกจาก สังสารวัฏ เนื่องเพราะว่า ในทุกข์ นั้น มันมีความรัก ความผูกพัน ความห่วงใย ความอาทร ความต้องการ และ สนองต่อโลกธรรม 8 นั่นเอง ผู้ภาวนาทั้งหลาย จึงยังไม่มีสติ ระลึกรู้ จึงไม่เสียสละ และ อดทน และ ข่มกลั่น ในฐานะที่สมควร แก่ ฐานะจึงพร่ำเพ้อ พรรณนา แต่ความทุกข์ ที่ซ้ำซาก ทั้ง ๆ ที่ใจก็รู้ว่า พรรณนา จนเลือดออกจากคอ ก็ไปเปลี่ยนแปลง ความทุกข์นั้นไม่ได้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีดวงตาเห็นธรรม ใน ธรรมที่ควร แก่ ฐานะ จงเจริญ รอยตามครูแห่งมนุษย์ และ เทวดาทั้งหลาย จงกล่าว พุทโธ ได้ตลอดกาล จงถึงรัตนะ อันควร จงสิ้นสงสัย ด้วย สัมมาทิฏฐิ จงถึงสุข อันเป็น สัมมาสมาธิ เมื่อข้อความนี้ส่งตรงถึงท่าน เทอญ เจริญธรรม / เจริญพร หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: Roj khonkaen ที่ กันยายน 22, 2015, 03:56:48 pm :25: :25: :25:
หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: kittisak ที่ กันยายน 22, 2015, 06:56:42 pm ข้อความชั้นสูง แสดงว่า พระอาจารย์ ปฏบัติ ในระดับ อรหัตมรรค เพราะเนือ้หาพูดถึงสังโยชน์ 5 ตัวสุดท้ายเท่านั้น นั้นก็คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ อวิชชา แสดงว่า พระอาจารย์ เป็นพระอนาคามีบุคคลแล้ว
st11 st12 st12 st12 หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ กันยายน 22, 2015, 07:01:57 pm อยากเรียนถาม วิธีการ ละ ลด อัสมิมานะ อย่างแนวปฏิบัติด้วย คะ
:49: :58: :25: หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: komol ที่ กันยายน 22, 2015, 09:14:28 pm st11 st12 st12
เนื้อหา พอจับใจความก็คือ การปฏิบัติ ในสายเจโตวิมุตติ มุ่งที่สุข ก่อน และให้ภาวนา ฐาน ด้านบนก่อน ประมาณนี้ ใช่หรือไม่ครับ แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ ก็ถือเอา ฐานด้านล่าง ภาวนาตามส่วน และเจริญวิปัสสนา thk56 thk56 thk56 st12 หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: fasai ที่ กันยายน 22, 2015, 09:17:51 pm st11 st12 st12 st12
กับข้อความที่พระอาจารย์ เมตตา ส่งธรรมทาน คะ ส่วนที่คุณ kobyamkal ถามนั้น ถ้าเป็นในฐานะคนฟังธรรม madchimaRDN ประจำละก็ น่าจะจำได้ว่า พระอาจารย์ท่านพูดไว้ การละอัสสมิมานะ ทางตรงก็คือ การเจริญ อนิจจสัญญา อนิจจสัญญา คือ อะไร ? อนิจจสัญญา ก็คือ การที่เราต้องจำว่า สรรพสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่า กาย หรือ ใจ หรือ แม้แต่ ธาตุ เป็นล้วนแล้ว ไม่เที่ยง มีทุกข์ เป็นที่สุด ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัว เป็นตน คะ :88: :49: หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: nirvanar55 ที่ กันยายน 22, 2015, 09:20:14 pm ขอเรียนถามว่า การอยู่ วิเวก จะลดกิเลส ของ พระอาจารย์ ลงได้อย่างไร ครับ ที่ผ่่านมา
เป็นไปได้หรือ ครับ ที่การอยู่ วิเวก หลบอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ยุ่งกับสังคมทางตรง จะลดกิเลสลงได้ thk56 ที่ขอเรียนถามตามตรงว่า วิเวก นั้นดีอย่างไร ? :25: หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: fasai ที่ กันยายน 22, 2015, 09:28:20 pm ทำไม พระอาจารย์ ออกข้อความ แล้ว อ่านเข้าใจได้ยาก จัง คะ
จะหาเรื่องที่ อ่านแล้ว เข้าใจง่าย ๆ มีหรือไม่ คะ มานะ แปลว่า ความถือตัว อัสสมิมานะ หมายถึง อะไรคะ :91: :41: :smiley_confused1: หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ กันยายน 22, 2015, 10:08:32 pm thk56 like1 st11 st12 :c017:
ขออนุโมทนาสาธุ ครับ หัวข้อ: Re: อัสสมิมานะ ได้เกิดแล้ว ได้เกิดแล้ว ว่า.... เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ กันยายน 23, 2015, 08:43:42 pm st12 st12 st12
|