สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: ประสิทธิ์ ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 01:57:36 pm



หัวข้อ: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: ประสิทธิ์ ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 01:57:36 pm
เฉลย เลยนะครับ

(http://news.mthai.com/wp-content/uploads/longsob.jpg)

 ที่มาจากเรื่อง ปัญหานิครนถ์ ถามพระเรวตะ ในเรื่อง ลีลาวดี


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: ประสิทธิ์ ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 02:00:08 pm
แล้วที่มา ของ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ละครับ

มีที่มาอย่างไร ใครรู้บ้าง
 :25:


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: tcarisa ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 02:01:17 pm
อันนี้ จะมาย้ำเรื่อง มรณัสสติ หรือคะ คุณประสิทธิ์
 :25:


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: สมภพ ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 02:16:31 pm
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า..บทสวดพรรณาถึงความตายในงานศพ ว่าด้วยความจริงของชีวิต ผู้ที่ได้ประโยชน์คือคนที่ยังมีลมหายใจที่ไปงานศพ หาใช่ศพที่นอนแข็งทื่ออยู่ในโลงศพไม่..???

(http://i276.photobucket.com/albums/kk24/Apirun/Dead.jpg)



หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: Namo ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 02:18:42 pm
มรณัสสติสูตรที่ ๑

        [๒๙๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐใกล้บ้านนาทิกคาม

ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น

ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  มรณัสสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว

ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเจริญมรณัสสติหรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้

ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ

        พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ

        ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า  โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ

        ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ

        พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ

        ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ

        ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ

        พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ

        ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ

        ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ

        พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ

        ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ

        ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ

        พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ

        ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ

        ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ

        พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ

        ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ

เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก  หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ

        เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ  เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

และภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาท เจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า

ส่วนภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค  เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

และภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ

เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า

เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ

จบสูตรที่ ๙


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: komol ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 09:16:45 pm
เรื่องนี้ เป็นปริศนา คำถามที่ดีครับ

ผมอ่านตอนแรก ก็ยังนึกไม่ออกกับคำถาม

   พอเห็นภาพแล้ว ร้องอ๋อ เลยครับ

 นี่สิครับ ที่เขาว่า คิดไม่ถึง จริง ๆ นะครับ เรื่อง ใกล้ ตัว ใกล้ ใจ

 :25:


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ ธันวาคม 01, 2010, 04:04:50 pm
ถือได้ว่าเป็น เรื่อง คำถามที่เตือนสติ ได้เป็นอย่างดี

 :25:


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: มะเดื่อ ที่ ธันวาคม 01, 2010, 05:25:17 pm
(http://img27.imageshack.us/img27/5853/11smallm.jpg)

สักวันหนึ่ง ฉันก็ต้องนอน
  ไม่ต้องตะลอน ไปไกลๆ
     แม้อยู่แห่งหนใด
         ก็ต้องกลับมาหาเธอ

                   มะเดื่อ


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: Namo ที่ ธันวาคม 01, 2010, 05:28:30 pm
"สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป"

   ใครรู้ความหมายบ้าง ...... :25:


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: ประสิทธิ์ ที่ ธันวาคม 01, 2010, 05:29:37 pm
ขอตอบเป็นแนวธรรมะ นะครับ
อะไรเอ่ย  สี่คนหาม สามคนแห่  หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป

คำเฉลยปริศนาธรรมนี้  อยู่ที่ตัวตนสมมุติของทุกคนนั่นเองคือ

๑. สี่คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ที่ประกอบเป็นร่างกาย

๒. สามคนแห่ ได้แก่ ไตรลักษณ์ที่มีอำนาจครอบงำร่างกาย ให้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

๓. คนหนึ่งนั่งแคร่  หมายถึง จิตหรือวิญญาณในร่างกาย

๔. สองคนพาไป หมายถึง กุศลกรรม กรรมดี และ อกุศลกรรม กรรมชั่ว หรือบุญกับบาป ที่คอยจัดสรรให้ทุกคนเป็นไปต่างๆ นานา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
 
ไม่รู้ถูกหรือปล่าว


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: tcarisa ที่ ธันวาคม 01, 2010, 05:31:33 pm
อันนี้ผมขอตอบตามที่ได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระเถรานุเถระหลายๆรูปครับ

สี่คนหาม  ก็คือตัวเราซึ่งเกิดจากการประชุมกันของธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ(ดิน) อาโปธาตุ(น้ำ) วาโยธาตุ(ลม) เตโชธาตุ(ไฟ)

สาม คนแห่ ก็คือกิเลส หรืออกุศลมูล ๓ หมายถึง  โลภะ  โทสะ  โมหะ  ที่แห่เชิดจิตของเราไปตามอารมณ์กิเลส  ดีบ้าง  ชั่วบ้าง  ไปตามอำนาจนี้

หนึ่งคนนั่งแคร่... หมายถึง  จิตของเรา เพราะคนประกอบด้วย 2 ส่วนคือ รูปกับนาม
รูปเกิดจากการประชุมกันของ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นก็คือแคร่ หรือร่างกายของเรา
ส่วนนามก็คือจิต ที่อยู่ภายในคอยบังคับบัญชากายของเรา
ดังนั้นหนึ่งคนนั่งแคร่ ก็คือจิตที่อยู่ในกายนั่นเอง

สองคนพาไป...  หมายถึง  บุญ และบาป  คือคนเราขณะที่มีชีวิตก็ถูก โลภะ โทสะ โมหะ ชักจูงไป
พอตายลงก็เหลือแต่บุญกับบาป ที่จะพาไปสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ

ถ้าเราลงมาจากบนแคร่ได้เมื่อใด ก็อิสระเมื่อนั้น คือหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส สู่พระนิพพาน
ไม่ต้องเกิดอีก หมดภพหมดชาติ พ้นจากคนหาม พ้นจากคนแห่ พ้นจากคนพาไป
หลุดพ้นจากความเมามัวเวียนวนในวัฏสงสารครับ


หัวข้อ: Re: อะไรเอ่ย คนซื้อไม่อยากใช้ คนใช้ไม่ต้องซื้อ ?
เริ่มหัวข้อโดย: ยอดชาย ที่ ธันวาคม 01, 2010, 06:00:52 pm
เคยได้ยินว่าเป็นงานบวช ทางภาคเหนือ

 สันนิษฐาน จากการนั่งแคร่

   :25: