หัวข้อ: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 23, 2015, 02:07:23 pm ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น
(http://www.madchima.org/kid/images/forimg58/pasit-05.jpg) ได้รับข่าวสาร จากหลายท่่าน ว่า ท้อถอยในการภาวนา ว่า ทำแล้วไม่มีใครเห็นดีด้วย ไม่มีใครชม ไม่มีใครช่วย ไม่มีพรรคพวก เลยกลายเป็น คนหัวเดียวกระเทียมหลีบ เหมือนคนดวงซวยก็ไม่ปาน และ อีกสารพัด ท่ท่านส่งข่าวเข้ามาหาฉัน เพื่อให้ฉันปัดเป่า เภทภัย เหล่านั้นไปให้ แท้ที่จริง แล้วการสร้างกุศล ไม่ว่า ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราถอดความเป็นเจ้าของ แต่ให้ยัง จิต ให้ บันเทิง ( ปราโมทย์ ) ให้เกิด เพราะจิต ที่บันเทิง ย่อม ต่อยอด แห่ง ศรัทธา ไปสู่ ปีติ สุข สมาธิ ยถาภูตญาณทัศศนะ นี่เป็นอย่างนี้ เพราะ การสร้างกุศล ก็เพื่อ เอามานานุสัย ที่เห็นว่า เราดี เราเก่ง เราแย่ เราเสมอเขา ออกไปด้วย เริ่มจากเบา ไปหา กิเลสตัวหนัก ๆ ดังนั้นท่านทั้งหลาย ที่หวังใน มรรค ผล และ นิพพาน แล้ว ควรยังจิต ให้บันเทิง หายใจ เข้า ก็รู้ว่า จิตเราบันเทิงอยู่ ควรยังจิต ให้บันเทิง หายใจ ออก ก็รู้ว่า จิตเราบันเทิงอยู่ นี่ปฏิบัติ อานาปานสติ แบบละกิเลส ในลักษณะ มหาสติปัฏฐาน ไม่ต้องตั้งขั้นตอนที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 แต่ให้ตั้งอย่างนี้เลย เพราะกุศล เป็นทางลัด สู่ จิตตานุปัสสนา การรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงของจิต การปิดทองหลัง พระ ก็มีเหตุ ทำให้ท่านทั้งหลาย บันเทิงใจได้ เพราะการปิดทองหลังพระ ไม่ได้ทำเพื่อคำชม เพื่อให้ใครชอบ ไม่ใช่เพื่อให้ใครมาช่วย แต่ทำเพื่อลด ละ กิเลส ของตนเอง เป็นเส้นทางไปสู่ มรรค ผล และ นิพพาน เข้าใจอยู่ ว่า มันน่าอึดอัด เวลาเราทำอะไร แล้ว ความดี มันอยู่ที่เรา แต่ ผลของความดี ไปอยู่ที่คนอื่น พระอาจารย์ เข้าใจดี หลายปสิบปีมานี้ ฉันทำและสู้ ตามปณิธาน ตามคำสั่งของครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด จนกระทั่ง ถึงความลำบาก ในช่วง ต้น ๆ จิตรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะต้องอดทน ข่มกลั้น หุบปาก ปิดความรู้สึก ว่า ยินดี หรือ ไม่ ยินดี จนมาวันนี้ ผลของการปฏิบัติ มันช่างหอมหวาน เพราะสุชใจแล้ว มีความสุขแล้ว ที่ได้สร้างกุศล โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่า เราเป็นเจ้าของกุศล เลย ใครจะรู้จักเรา ก็ได้ ไม่รู้จัก ก็ได้ นับถือ ก็ได้ ไม่นับถือ ก็ได้ ช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ เพราะใจเรารู้ว่า กุศลที่สร้างสั่งสมไว้นั้น เราไม่ได้เป็นเจ้าของ เลย มีแต่เพียง สภาวะธรรม ที่เกิดดับ ของ สภาวะกุศล นั้น หลายครั้งในตอนปฏิบัติต้น ๆ เมื่อจิตตก พระอาจารย์ ก็อาศัยกุศลเหล่านี้แหละ มายังใจให้บันเทิง ให้ถึงปิติในภายใน ถึงความผ่องใส ในภายใน เพื่อต่อยอดไปสู่ มรรค ผล นั่นเอง ขอให้ท่านทั้่งหลาย จงอย่า ท้อถอย เมื่อทำความดี ก็เพียงเพื่อให้จิตบันเทิง ในกุศล อย่าได้มีความรู้สึกว่าเราไปเป็นเจ้า ของ จนไปสู่ที่มาของคำว่า ของเรา ของกู ตัวเรา ตัวกู ถ้าท่านรู้้อย่างนี้ แล้ว ก็มาร่วม ปิดทองหลังพระด้วยกัน เถอะ เจริญธรรม / เจริญพร หัวข้อ: การสร้างกุศล ให้เป็นเสบียง ดุจจุนเจิม หมายถึง เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 23, 2015, 02:26:50 pm ask1
การสร้างกุศล ให้เป็นเสบียง ดุจจุนเจิม หมายถึง อะไร คำถามจาก naka54 ,bajang ,ฟ้าใหม่แจ่มใส , saieaw, juntra , doremon , ans1 (http://www.uppic.org/image-A352_527A11FC.jpg) ขอบคุณภาพประกอบจาก uppic การสร้างกุศล หมายถึง การเจริญ มรรค หรือ ภาวนา มรรค หรือ ปฏิบัติ ตาม อริยะมรรค ซึ่ง แบ่ง ย่อยง่าย ก็คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต โดย กรรมสามอย่างนี้ ต้องมั่นคง ด้วย ปัญญินทริย์ และ ปัญญาพละ หมายถึง ตั้งอยู่บน ปัญญา เป็นหลักใหญ่ ปัญญา ในที่นี้หมายถ การมีสัมมาทิฏฐิ ( ความเห็นชอบถูกต้องตามหลักธรรม ) และ สัมมาสังกัปปะ ( ความคิดชอบถูกต้องตามหลักธรรม ) แต่การสร้างกุศล สามารถทำได้ ตั้งแต่ ปุถุชน จนถึง พระอริยะ ดังนั้น ทุกท่านที่สร้างกุศล ก็เพื่อ ผลในปัจจุบัน และ ผลในอนาคต ผลในปัจจุบัน เรียกว่า บุญ แปลว่า สุขใจ เต็มใจ เมื่อสร้างกุศลก็ให้ผลคือ สุขใจ เต็มใจ จึงชื่อ กุศลเติมเต็มในปัจจุบัน ผลในอนาคต เรียกว่า อานิสงค์ แปลว่า ส่งผลให้ในกาลข้างหน้า อย่างใดอย่างหนึ่ง ในที่นี้หมายถึง การเติมเต็ม บารมี ไม่ว่ากุศลนั้น เป็นกุศลระดับไหนก็ตาม ก็เป็นไปเพื่อ เติมเต็มบารมี เพื่อวิบากกุศลที่ดี ตั้งแต่ วิบากคือสุข ในทรัพย์ ตระกูล สุขภาพ เพื่อนผอง สวรรค์ มรรค ผล และ นิพพาน ดังนั้น เมื่อสร้างกุศล ขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่เมื่อสร้างกุศล แล้ว จะให้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา ก้ต้องสร้างเพื่อขัดเกลากิเลส สุดท้ายผู้สร้าง ไม่จำเป็นต้องไปยึดมั่นถือมั่น ว่า กุศล นั้นเราเป็นเจ้าของ เราเป็นคนสร้าง ทุกคนต้องรู้ ต้องสรรเสริญ ต้องนับถือ อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นเมื่อจิตสร้างกุศล ก็ต้้องทำไว้ในใจอย่างแยบคายว่า กุศล นั้นเราทำเพื่อให้ใจบันเทิง เป็นผลไปสู่ธรรมต่อไป เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็หมายถึง ว่า เราต้อง เคารพ ในกุศล ด้วย แต่ทำความเคารพ ดุจผงฝุ่น ที่มันสลายหายไปได้ในอากาศ นั่นก็คือ ความหมายของ กระแจะจุนเจิม ที่สร้างดินสอพอง ( ที่มีค่าน้อยนิด ) แต่เมื่อทำผสมกับมนต์ คือ การสร้างกุศลแบบพุทธแล้ว เมื่อ เจิมลงไปที่ผนัง หรือ ฝา ผงฝุ่นก็เป็นที่นับถือ ไม่ไร้้ค่า นี่คือ ความหมาย ของการสร้างกุศล เป็นเสบียง ดุจจุนเจิม เจริญธรรม / เจริญพร หัวข้อ: Re: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: kittisak ที่ ตุลาคม 23, 2015, 02:53:35 pm st11 st12 st12 thk56 like1
หัวข้อ: Re: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: MICRONE ที่ ตุลาคม 23, 2015, 05:29:27 pm st12 st12 st12
จะจดจำไว้ ครับ :25: :25: :25: หัวข้อ: Re: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ตุลาคม 23, 2015, 05:44:02 pm ขออนุโมทนาสาธุ หัวข้อ: Re: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: naka-54 ที่ ตุลาคม 24, 2015, 03:38:00 am st12 st12 st12
พระคุณเจ้า ตอบไวมาก เหนือความคาดหมาย like1 thk56 หัวข้อ: Re: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: MICRONE ที่ ตุลาคม 24, 2015, 09:59:31 am มาที่นี่ ก็เพื่ออ่านบทความทางธรรม ของพระอาจารย์ครับ
st11 st12 like1 หัวข้อ: Re: ถึงท่าน ที่สร้างกุศล แล้ว ท้อถอย ไม่ยังจิตให้บันเทิง ภาวนาได้แค่ชั่วแล่น เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ ตุลาคม 24, 2015, 02:08:01 pm :25: :25: st11 st12 like1
|