หัวข้อ: “ พ่อของฉัน ” เริ่มหัวข้อโดย: สาวิตรี ที่ ธันวาคม 04, 2010, 11:27:39 am พ่อของฉัน
แบ่งปัน “ พ่อของฉัน ” ถ้าจะให้พูดถึงผู้ให้กำเนิดในที่นี้ ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว ว่านั้นคือ พ่อและแม่ผู้ที่ให้ทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ความรัก เฝ้าฟูมฟัก ถนุถนอม คอยพร่ำสอนให้เราเป็นคนดี เป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูก ๆ ท่านเปรียบเสมือนพระในใจของลูก ไม่ว่าทุกข์หรือสุขท่านคอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ คอยห่วงใยเราไม่เคยห่าง โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ถ้าจะให้ลำดับความสำคัญของท่านทั้งสอง เราคงหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะว่าท่านทั้งสองคนมีบทบาทความสำคัญเท่า ๆ กัน ถ้ายังงั้นฉันจะขอพูดถึงบทบาทของพ่อฉันแล้วกันนะค่ะ สมัยก่อนฐานะทางบ้านฉันค่อนข้างยากจน ข้าวสารแทบจะไม่มีกรอกหม้อก็ว่าได้ พ่อของฉันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรฉันก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ เพราะว่าความทรงจำของฉันกับพ่อนั้นแทบจะไม่มีเลย อีกทั้งยังไม่เคยได้ทดแทนบุญคุณของท่านเลย ถ้าแม่และพี่ ๆ ไม่เล่าให้ฉันฟัง ฉันก็คงจะไม่รู้ เพราะว่าพ่อจากฉันไปตั้งแต่ฉันอายุได้ 5 ขวบ ส่วนน้องสาวของฉันอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ครอบครัวของฉันมีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน แม่และพี่ เล่าให้ฉันฟังว่าพ่อของฉัน จากไปด้วยโรคมะเร็งลำไส้ เนื่องจากที่พ่อต้องอดทนทำงานทุกอย่าง เพื่อแลกกับข้าวสารมาจุนเจือครอบครัว จนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง อดบ้างอิ่มบ้างต้องรับจ้างทำงานทุกอย่าง ที่พอจะทำได้เพื่อแลกกับการที่ลูกทุกคนไม่อด โดยไม่คำนึงถึงตัวเองว่าจะลำบากสักแค่ไหน งานหลักของพ่อคือรับจ้างเลี้ยงวัวให้กับนายตำรวจคนหนึ่ง แต่ในช่วงนั้นพ่อบ่นว่าเจ็บปวดท้องอยู่บ่อย ๆ แต่ก็อดทนไว้เพราะไม่อยากให้แม่และพวกเราเป็นห่วง เพราะถ้าพ่อเป็นอะไรไปคงจะลำบากมากกว่านี้ รูปร่างพ่อไม่ค่อยอ้วนหนักเพราะทำงานหนัก ร่างกายผ่ายผอม ระหว่างนั้น พี่ทั้ง 4 คน เริ่มจะรู้เรื่องกันบ้างแล้ว พ่อก็คอยพร่ำสอนให้พวกเราเป็นคนนดี ห้ามลักเล็กขโมยน้อย ห้ามพูดปด ให้เคารพผู้ใหญ่ไปลามาไหว้ รู้จักรักและสามัคคีกันให้เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ด้วยความที่พ่อมีลูกมาก อย่างที่เขาว่า “ มีลูกมากมักยากจน ” แต่พ่อก็ไม่เคยบ่นเลยกับการที่มีลูกหลายคน แต่ยิ่งทำให้พ่อมีความสุขกับลูกๆ ในสมัยนั้นการจะเรียนหนังสือก็ยากลำบาก พ่อเลยตัดสินใจ พาพี่ชายทั้งสองคนไปบวชเรียนเพื่อหาวิชาความรู้ ใจจริงแล้วพ่อไม่อยากให้ลูก ๆ แยกจากกันเลย แต่พ่อบอกว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะไม่มีความรู้ติดตัว ส่วนพี่สาวทั้งสองคนพ่อก็ไปร้องขอกรมประชาสงเคราะห์คนยากไร้ที่ตัวจังหวัด เพื่อให้พี่สาวไปเรียนที่นั้น แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร พ่อก็ล้มเจ็บลงก่อนแล้วก็ทรุดลง ผลที่ออกมาคือพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว ไม่สามารถที่จะรักษาได้นอกจากผ่าตัดเท่านั้น มีสิ่งหนึ่งที่ฉันพอจะจำได้คือ แม่ร้องไห้หนักมากร้องทุกวันทุกคืนด้วยความที่กลัวว่าพ่อจะจากไป แต่ในขณะนั้นอาการของพ่อหนักมากและค่าใช้จ่ายก็สูง ประกอบกับที่เราไม่มีเงินกันเลย แต่ก็โชคดีที่นายอำเภอยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าฐานะทางครอบครัวของพ่อลำบาก โดยขอเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤตสุด ๆ พวกเราหวั่นใจกลัวว่าพ่อจะจากไป จากนั้นนายอำเภอก็ทำเรื่องส่งตัวพ่อไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่จังหวัดพิจิตร ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปพ่อขอกลับมาเจอลูก ๆ ก่อนพ่อต่อสู้กับความเจ็บปวดเพื่ออยู่กับลูกๆ แต่พ่อก็ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดให้แม่กับลูก ๆ ได้เห็นเลย ก่อนพ่อไปพ่อบอกกับลูก ๆ ว่า “ เป็นพี่น้องกันต้องรักและสามัคคีกัน อย่าทิ้งกันพ่อพูดกับแม่ว่าไม่ว่าจะลำบากสักแค่ไหนก็อย่าให้ลูกกับใครนะและ พยายามให้ลูกได้เรียนหนังสือกันทุกคน ” นั้นคือคำขอสุดท้ายของพ่อ ซึ่งอยู่กับลูกๆได้แค่ 3 วัน เขาก็มารับตัวพ่อไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลจังหวัดพิจิตร ตอนนั้นพ่อนอนรอรับการผ่าตัดแต่ก็ไม่ทัน แล้วพ่อก็จากไปอย่างสงบ งานศพของพ่อถูกจัดอย่างเรียบ ๆ คนมาร่วมงานของพ่อเยอะมากเพราะว่าพ่อเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนโดยไม่หวังผลตอบแทน มีหลายคนร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานให้พ่อ ตลอดจนถึงวันเผาทุกคนร้องไห้หนักมาก นั้นคือสิ่งที่ฉันจำได้ หลังจากงานศพพ่อผ่านไปไม่ถึงเดือนแม่ก็รับบทบาทแทนพ่อ พี่ชายทั้งสองก็บวชเรียน ส่วนพี่สาว 2 คน ก็ได้เข้าโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ที่ตัวจังหวัดอย่างที่พ่อหวัง ส่วนฉันนายอำเภอก็มาขอไปเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งตอนนั้นแม่อยากให้ลูกได้สบายจนลืมคิดถึงคำที่พ่อขอไว้จึงให้ไป แต่ก็ไปอยู่กับเขาได้เพียง 2 วัน แม่ก็ไปรับกลับและบอกกับเขาว่า “ ขอลูกให้ฉันคืนเถอะ ” พร้อมกับร้องไห้ แต่เขาไม่ให้ แม่บอกว่า “ พ่อเขามาเข้าฝันฉันว่าอย่าให้ลูกกับใครไป ” เขาก็เลยคืนลูกให้และบอกว่าถ้าเกิดมาช้ากว่านี้ ก็คงไม่ได้เจอเพราะฉันจะไปอยู่กรุงเทพ ฯ แล้ว แม่ดีใจมากที่ได้ฉันคืนมาและรู้สึกโมโหตัวเองมากที่ทำผิดต่อพ่อ ต่อจากนั้นแม่ก็พาฉันไปสมัครเรียนพร้อมกันกับน้อง คนอื่น ๆ เขาซื้อหนังสือเรียน แต่ฉันกับน้องต้องยืมเรียนแต่ฉันไม่เคยอายเลย และตั้งใจเรียนให้แม่ได้ภูมิใจ พอถึงวันพ่อ แม่ก็ไปเป็นพ่อแทน เพื่อน ๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะที่ฉันไม่มีพ่อ แต่ฉันไม่เคยสนใจเพราะคิดว่าแม่กับพ่อก็มีความหมายเหมือน ๆ กัน แทบจะไม่มีใครเป็นที่หนึ่งหรือที่สองด้วยซ้ำไป ปัจจุบันนี้แม่ของฉันที่เปรียบเสมือนพ่อไม่ได้ทำงานหนักเหมือนแต่ก่อนแล้ว พวกเราทุกคนได้เรียนจนจบ ถึงแม้จะลำบากขนาดไหน อาจจะไม่ได้จบสูงมากนัก แต่พวกเราก็ดีใจที่ทำตามคำขอของพ่อ ที่อยากให้พวกเราได้เรียนหนังสือ และพวกเราก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี อาจจะไม่ได้ร่ำรวยยมากมาย แต่พวกเราก็รักและภูมิใจในตัวของแม่ เสมือนว่าพ่อของเราอยู่กับเราตลอดเวลา ในวันที่ฉันรับประกาศนียบัตรแม่และพี่ปลาบปลื้มใจมาก มันอาจจะเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ แต่เราทุกคนก็มีความสุข จนทำให้ฉันคิดถึงพ่อมาก ๆ อยากให้พ่อมาร่วมแสดงความดีใจนั้น เลยเขียนบทกลอนนี้ขึ้นมาเพื่อ “ พ่อของฉัน ” และร่ำลึกนึกถึงท่านอยู่เสมอ ๆ ไม่เคยลืมพระคุณของท่านเลย ความสำเร็จของฉันที่เรียนจบ อยากพานพบคนที่ฉันนั้นเฝ้าหา อยากจะรู้ว่าท่านอยู่แห่งใดนา อนิจจาท่านไม่อยู่ร่วมดีใจ พ่อของฉันจากไปไม่มีกลับ ไปเลยลับไม่รู้ไปอยู่ไหน โอ้พ่อจ๋าลูกคิดถึงแทบขาดใจ พ่ออยู่ไหนโปรดรับรู้ว่าลูกรอ อยากให้ลูกทุกคนที่ได้อ่าน โปรดสงสารคนนี้ที่ขาดพ่อ อยากให้รู้ว่ามันเจ็บเกินจะรอ ปวดใจหนอที่เฝ้ารอพ่อกลับคืน จงทำดีเท่าที่จะทำได้ อย่าได้ให้ท่านเอ่ยและร้องขอ โปรดให้เถอะความรักอย่ารีรอ ให้เพียงพอกับพระคุณ หัวข้อ: Re: “ พ่อของฉัน ” เริ่มหัวข้อโดย: ก้านตอง ที่ ธันวาคม 05, 2010, 08:12:15 am อย่าปล่อยให้เวลา ที่ควรทำ หมดไป กับความรูสึก ที่ลังเล
อย่าปล่อยให้ใจที่ลังเล มาขวาง ความรู้สึก ทีดี ๆ ที่ควรทำ อย่าปล่อยสิ่งที่ควรทำ ให้เป็นเพียง แต่ความคิด อย่าปล่อยให้ความคิด บรรเจิด เพริศแพร้ว เป็นเพียง จินตนาการ เพราะว่า พ่อ และ แม่ นั้น ไม่สามารถรอ จินตนาการ ของเราได้ ทุก สรรพสิ่ง มาจากความไม่รู้ สู่ ความไม่รู้ :25: หัวข้อ: Re: “ พ่อของฉัน ” เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ เมษายน 13, 2011, 12:53:04 am “เซี่ยว” อักษรกตัญญู
เงินทองแม้มากมาย ยากซื้อชีพกายพ่อแม่ ท่านอยู่ไม่แยแส ไม่ดูแลน่าละอาย. http://www.youtube.com/watch?v=5hKFsiKwfP0# (http://www.youtube.com/watch?v=5hKFsiKwfP0#) |