สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 06, 2010, 08:54:05 am



หัวข้อ: สักกายทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 06, 2010, 08:54:05 am
สักกายทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวรรค

โสดาปัตติมรรคอาสวะเหล่านั้นคือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐิสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เป็นเหุตให้สัตว์ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะ แห่งโสดาปัตตอมรรคนี้

สกทาคมมิมรรคอาสวะส่วนหยาบ ภวาสะ อวิชชาสวะ อันตั้งกันอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยสหทาคมิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่ง สหทาคามิมรรคนี้

อนาคามิมรรคกามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอนาคามิมรรคนี้

อรหัตมรรคภวาสวะ อวิชชาสวะ ย่อมสิ้นไปไม่มีส่วนเหลือด้วยอรหัตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอรหัตมรรคนี้ชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิแห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิฌาณ




หัวข้อ: Re: สักกายทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 06, 2010, 08:55:42 am
สักกายทิฏฐิ

    ดูกรคหบดี ก็อย่างไรเล่า บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายด้วย จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายด้วย ดูกรคฤหบดี คือปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ มิได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ มิได้รับแนะนำในอริยะธรรม มิได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ มิได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
                   ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
                   ย่อมเห็นตนมีรูป ๑
                   ย่อมเห็นตนในรูป ๑
          เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะเวทนาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดขึ้น
                   ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑
                   ย่อมเห็นเวทนาในตน ๑
         เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา เมื่อเขาตั้งอยู่ ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา เวทนานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะเวทนาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดขึ้น
                   ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ๑
                   ย่อมเห็นตนมีสัญญา ๑
                   ย่อมเห็นสัญญาในตน ๑
                   ย่อมเห็นตนในสัญญา ๑
         เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นสัญญา สัญญาของเรา เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสัญญา สัญญาของเรา สัญญานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสัญญาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายสาสะจึงเกิดขึ้น
                  ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑
                  ย่อมเห็นตนมีสังขาร ๑
                  ย่อมเห็นสังขารในตน ๑
                  ย่อมเห็นตนในสังขาร ๑
          เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นสังขาร สังขารเป็นเรา เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารเป็นเรา สังขารของเรา สังขารนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสังขารแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปิทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปยาสจึงเกิดขึ้น
                  ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
                  ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑
                  ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑
                  ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑
          เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา วิญญาณนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น
          ดูกร คฤหบดี ด้วยเหตุอย่างนี้แล บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย
         ดูกรคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่
         ดูกรคฤหบดี คืออริยสาวกในธรมวินัยนี้ ได้สดับฟังแล้ว ผู้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในอริยธรรม ผู้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของสัตตบุรุษ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในสัปปุริสธรรม
                  ย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
                  ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ย่อมไม่เห็นรูปในตน ๑
        ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา เมื่ออริยะสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยดีด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปเป็นของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวน เป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้นหามิได้
                 ย่อมไม่เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนมีเวทนา ๑
                 ย่อมไม่เห็นเวทนาในตน ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนในเวทนา ๑
         ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นอย่างอื่นไป เพราะเวทนาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น
                 ย่อมไม่เห็นสัญญาโดยสความเป็นตน ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนมีสัญญา ๑
                 ย่อมไม่เห็นสัญญาในตน ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนในสัญญา ๑
         ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นสัญญา สัญญาของเรา เมื่ออริยสาวกนั้นไม่อยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสัญญา สัญญาเป็นเรา สัญญานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสัญญาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น
                 ย่อมไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนมีสังขาริ ๑
                 ย่อมไม่เห็นสังขารในตน ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนในสังขาร ๑
                 ย่อมไม่เห็นตนในสังขาร ๑
          ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารเป็นเรา เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารเป็นเรา สังขารนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสังขารแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้นหามิได้
                ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
                ย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ ๑
                ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน ๑
                ย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ ๑
           ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณเป็นของเรา เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา วิญญาณนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น ดูกรคฤหบดี อย่างนี้แล บุคคลแม้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่ ฯท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้แล้ว นกุลปิตคฤหบดีชื่นชมยินดีภาษิตของท่านสารีบุตร ฉะนี้แล ฯ



หัวข้อ: Re: สักกายทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 23, 2011, 01:16:47 pm
โปรดทบทวน เรื่อง สักกายทิฏฐิ ก่อนที่จะเข้าใจผิด ใน มรรค และ ผล สักกายทิฏฐิ เห็นอย่างไร รุ้อย่างไร ละได้อย่างไร สิ้นเชิงได้แล้วอย่างไรขอให้ผู้ภาวนาทุกท่าน ทบทวน ในส่วนนี้กันก่อน ที่ จะเข้าใจผิด  กันนะจ๊ะ
เจริญธรรม


  ;) Aeva Debug: 0.0005 seconds.Aeva Debug: 0.0004 seconds.


หัวข้อ: สักกายทิฏฐิ 20 ตามที่ให้ได้ทบทวนครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ประสิทธิ์ ที่ ธันวาคม 26, 2011, 10:06:08 am
สักกายะทิฐิ...มี ๒๐ ครับ...ดังนี้ครับ
รูป
๑.ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง
๒.เห็นตนว่ามีรูปบ้าง
๓.เห็นรูปในตนบ้าง
๔.เห็นตนในรูปบ้าง
เวทนา
๕.ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตนบ้าง
๖.เห็นตนว่ามีเวทนาบ้าง
๗.เห็นเวทนาในตนบ้าง
๘.เห็นตนในเวทนาบ้าง
สัญญา
๙.ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตนบ้าง
๑๐.เห็นตนว่ามีสัญญาบ้าง
๑๑.เห็นสัญญาในตนบ้าง
๑๒.เห็นตนในสัญญาบ้าง
สังขาร
๑๓.ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตนบ้าง
๑๔.เห็นตนว่ามีสังขารบ้าง
๑๕.เห็นสังขารในตนบ้าง
๑๖.เห็นตนในสังขารบ้าง
วิญญาณ
๑๗.ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตนบ้าง
๑๘.เห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง
๑๙.เห็นวิญญาณในตนบ้าง
๒๐.เห็นตนในวิญญาณบ้าง

เมื่อรู้แล้วว่ามีอะไรบ้างเมื่อผัสสะกระทบสัมผัส..ก็ใช้สติปัฎฐาน ๔ โดย..การกำหนดรู้..นามรูป..ตามรู้ตามเห็น..อาการของสักกายทิฐิทั้ง ๒๐ แล้วเพียรละอาการเหล่านั้นบ่อยๆ...จิตจะค่อยๆมีอาการเหล่านี้น้อยลงๆๆๆ..จนละได้ในที่สุดครับ