สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 14, 2015, 05:46:35 pm



หัวข้อ: ถ้าไม่ภาวนา จะนับ ๗ ไม่ได้ เพราะนับไป ก็ไม่มีประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 14, 2015, 05:46:35 pm
(http://www.madchima.org/kid/images/forimg58/pra/pra-20.jpg)

ปริศนา ภาพนี้เขียนมาตั้งแต่ เริ่มภาวนา โพชฌงค์ 7 แล้ว มีอายุภาพ อย่างน้อย ก็ 14 ปีแต่ปัจจุบัน เวลาสอบถามลูกศิษย์ ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจ ในปริศนาของภาพกัน ทั้ง ๆ ที่ ฉันก็เคยอธิบาย บอกใบ้ กันไปแล้ว หลายครั้ง แม้แต่ปกหนังสือ หลายเล่ม ก็มี ภาพนี้ แต่ไม่เคยมีใครสะดุดใจ ระลึกในนิมิตร ของ วิชชา ได้ ทำให้รู้ว่า แต่ละท่าน ล้วนฝึกฝน โพชฌงค์ 7 ยังไม่ได้ ระดับ ที่ 1 คือ นิมิตร แห่งโพชฌงค์ 7

    เหตุผล เพราะใช้ สังขารปรุงแต่ง ในธรรมมากกกันเกินไป หลายท่านเข้าใจว่า ทำการตรึกนึกคิด เข้าไปตรง ๆ นั้นแล้ว นั่นแหละคือ ปัญญา  เหตุเพราะไม่ได้สมาธิ

     มีเพียง สติ เป็นตัวตื่นอยู่ แต่ สมาธิ ขาด

     อะไร ดับสังขาร ( การปรุงแต่ง ) ได้ คำตอบ ก็คือ สมาธิ

    การจะดับสังขาร ก็คือ การหยุด คิดเรื่อง อื่น ๆ นานาสาระ สาระพัน ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน

    เมื่อจิตรวมลงเป็น เอกัคคตา จิตก็จะได้ญาณ เพราะพ้นจากสภาพการปรุงแต่ง
   
    ในสมาธิ มีแต่สภาวะ เห็น ไม่มีสภาวะปรุงแต่ง สภาวะ เห็นจนกระทั่ง มันเข้าใจตามความเป็นจริง

       เช่น เห็นน้ำที่ไหล ลงมา ก็จะเห็นความจริง ไปตามลำดับ อย่างนั้น


    เจริญธรรม / เจริญพร



หัวข้อ: Re: ถ้าไม่ภาวนา จะนับ ๗ ไม่ได้ เพราะนับไป ก็ไม่มีประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ธันวาคม 14, 2015, 06:23:37 pm

      ขออนุโมทนาสาธุ


หัวข้อ: โพชฌงค์ 7 สำหรับการภาวนา
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 14, 2015, 07:08:06 pm
โพชฌงค์ ลำดับที่ ๑ คือ สติ
    สติ จัดเป็นธรรม กลาง ๆ เพราะ เมื่อมี สติ ก็จะมี อเบกขา เวลาที่จิตรับรู้อะไร ไม่ว่า จะเป็นเรื่อง บวก หรือ เรื่อง ลบ ธรรมที่สติ จะผลให้ในที่สุด ก็คือ อุเบกขา เป็นการวางเฉย ระดับที่ 1 เพื่อไม่ให้จิตเร่าร้อน กับเรื่องที่ลบ และ เรื่องที่บวก เป็นสภาวะ ปกติของพระโยคาวจร ที่ควรจะได้ก่อน เป็นอันดับแรก สิ่งที่พระโยคาวจร จะต้องคือความยินดี และ ความยินร้าย อันมีอารมณ์เป็นตัวนำ ดังนั้น สติ เป็น ธรรมพัฒนา วิวัฒนาไปสู่ อุเบกขา พื้นฐาน

โพชฌงค์ ลำดับที่  ๒ ธัมมวิจยะ หรือธรรมวิจัยเลือกเฟ้นธรรม
   ธัมมะวิจยะ จัดเป็นธรรม ที่ให้ผล คือ ความรู้สึกต่อกุศล ฝ่ายบวก ในจิตของมนุษย์ แม้มีสติอยู่ แต่ ธรรมก็ปรากฏสองฝ่าย คือ ฝ่ายดำ ที่เรียกว่า อกุศล ฝ่ายขาว ที่เรียกว่า กุศล ตัว ธัมมะวิจยะให้ผล คือ สัมมปชัญญะ นั่นเป็นเพราะว่า สัมปชัญญะ คือการรู้สึกตัว ทั่วพร้อม ต่อสภาวะธรรม ที่เป็นฝ่ายบวก ดังนั้น ธัมมะวิจยะ ไม่ใช่เราเป็นผู้เลือก แต่ สัมปชัญญะ เป็นผู้เลือก ธรรม อันเหมาะสมเรียกว่า ธรรมฝ่ายกุศล เพราะการไปสู่ธรรมขั้นสูงอาศัย ธรรมที่เป็นฝ่ายขาว ฝ่ายดำ ทำไม่ได้ ดังนั้น ธัมมะวิจยะ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ สัมปชัญญะ สมูรณ์ ถ้าเป็นการฝึกโพชฌงค์ 7 โดยตรง

     ธัมมะวิจยะ ที่ ถูกเลือกขึ้นมาก็คือ วิตก วิจาร สองประการ
     ในที่นี้หมายถึง ฐานแห่งจิต และ คำบริกรรม ผลของธัมมะวิจยะ ก็คือ ปราโมทย์ และ ฉันทะ อันประกอบระคนอยู่ด้วย สมาธิ ดังนั้น จึงเรียกว่า ความยินดีในสมาธิ ความรักพอใจในสมาธิ ถ้ามีตัวนี้อยู่ แสดงว่า ธัมมะวิจยะ มาถูกทางแล้ว นั่นเอง

โพชฌงค์ ลำดับที่  ๓ วิริยะ ความเพียร ก็ได้แก่
     อารัมภธาตุ ธาตุคือความริเริ่ม
     นิคมธาตุ ธาตุคือความเริ่ม ธาตุคือความดำเนินไป
     ปรักมธาตุ ธาตุคือความดำเนินให้ก้าวหน้าไปจนถึงที่สุด
         ธาตุ ทั้ง ตัวรวมเรียกว่า ที่ตั้งแห่งสมาธิ  ประกอบด้วย 3 อย่างคือ
     ปัคคาหะนิมิตร บริกรรมนิมิตร อุเบกขานิมิตร


โพชฌงค์ ลำดับที่ ๔ ปีติ ตรัสแสดงว่าได้แก่ธรรมะที่เป็นที่ตั้งของปีติ

โพชฌงค์ ลำดับที่  ๕ ปัสสัทธิ ตรัสแสดงว่าได้แก่กายปัสสัทธิสงบกาย ปัสสัทธิสงบใจ

โพชฌงค์ ลำดับที่  ๖ สมาธิ ตรัสแสดงว่าได้แก่สมาธินิมิต นิมิตคือเครื่องกำหนดหมายแห่งสมาธิ และ อัพยฆะ อันได้แก่ความที่จิตไม่แตกแยกแบ่งแยก แต่มียอดเป็นอันเดียวไม่หลายยอด คือไม่แตกยอดมาก ก็คือจิตที่รวมเป็นหนึ่ง

โพชฌงค์ ลำดับที่ ๗ อุเบกขา ตรัสแสดงว่าธรรมะที่เป็นที่ตั้งของอุเบกขา


หัวข้อ: ผังดาวเหนือ กับ โพชฌงค์ ๗ ( ดาวเหนือ เป็นสัญญลักณ์ของ เส้นทางที่ถูกต้อง )
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 14, 2015, 07:27:08 pm
การวางจิต ที่เรียกว่า ปัคคาหะ นั้น ในทางกรรมฐาน อันที่จริง ถูกฟอกและแปลงมาจาก วิชาพื้นฐาน ถ้าผู้ฝึกพระพุทธานุสสติ เข้าใจ ธาตุพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอยู่ 6 ธาตุ

     ธาตุของ พระพุทธเจ้า จะเห็นได้ด้วยสมาธิ แม้ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าไม่มีพระชนม์ อยู่ แล้ว แต่ก็ยังเห็นได้ด้วย อำนาจสมาธิ

     ธาตุของพระพุทธเจ้า นั้น เรียกว่า ฉัพพรรณรังษี เป็นธาตุที่เกิดการเปลี่ยนธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ จิต เป็น ธาตุบริสุทธิ์ และเป็นสัญลักษณ์ชองพระพุทธเจ้า สำหรับพระสาวก มีได้เต็มที่ก็ 1- 2 ธาตุุ เท่านั้น เป็นไปตามบารมีที่สั่งสมมา

     ธาตุนี้จะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็หามิได้ แต่การเห็น จะมีอยู่สองอย่าง คือ
 
      1. รู้สึกได้ด้วยใจ 
      2. เห็นได้ด้วยอำนาจสมาธิ ฝ่าย พุทธคุณ
       
     สายกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ คงระเบียบการฝึกพระกรรมฐาน มาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยพระพุทธานุสสติ กรรมฐาน ดังนั้นการเห็นจึงเป็นเรื่องปกติ การเห็นสามารถเห็นได้ั้งแต่ ขณิกะสมาธิ ถ้าเป็นในกรรมฐาน ฝ่ายพระพุทธานุสสติ ก็จะสามารถเห็น ธาตุพุทธคุณ 108 ประการได้ สองแบบ คือ พุทธคุณฝ่ายลักษณะ ใช้ความรู้สึก ส่วนพุทธคุณฝ่าย รัศมี ใช้อำนาจสมาธิ

      (http://suebsak.com/story/images/kk02.jpg)
      ขอบคุณภาพประกอบจาก http://suebsak.com (http://suebsak.com)
   
     สำหรับพระผู้ปฏิบัติสายนี้ ถึงแม้ พระรัศมี ได้จากพระบรมสารีริกธาตุ แล้ว ถึงแม้จำแนกได้ว่า อันไหนแท้ หรือ เทียม แต่ผลด้วยรวมเราก็ไม่เคยขัด ของเทียมที่ว่า ใช่ นั่นเพราะว่า เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า

     ในการปฏิบัติ โพชฌงค์ 7 นั้น ครูอาจารย์ เมื่อภาวนาถึงธาตุ ย่อมต้องจับทิศทาง การเดินจิตที่ได้ผล ที่สุด้วยใช้ห้องพระพุทธคุณ อันระคนด้วย วิปัสสนาญาณ 9 ประกอบผังการเดินจิตที่เรียกว่า สหรคต เป็น ผลญาณ ที่สามารถเดินจิตได้จริง ทั้งฝ่าย วิปัสสก และ ฝ่าย อุภโตภาควิมุตติ ดังนั้นครูอาจารย์ ท่านจึงนำผังดาวเหนือ มารวมลงเทียบเคียงการเตินจิตผลสมาบัติ อันเริ่มที่ศูนย์นาภี จุดชุมนุมธาตุ

      (http://f.ptcdn.info/570/003/000/1364387464-polaris-o.png)
       ขอบคุณภาพประกอบจาก http://f.ptcdn.info (http://f.ptcdn.info)

      ซึ่งเมื่อเดินจิตถึงที่สุด คือ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ แล้ว จิต ก็จะไปสู่ โลกุตตระ ที่เรียกว่า เหนือ ดังนั้นผังการเดินจิตเป็น ดาวไถ ไม่ใช่ดาวเหนือ เพราะดาวเหนือ มีดวงเดียว แต่วิธีการสังเกตดาวเหนือ ต้องอาศัยดาวไถ ครูอาจารย์ ท่านจึงผนวกฐานจิต ตามรูปแบบดาวไถ แต่ ผลที่สุด สภาวะธรรม ก็เป็น โลกุตตระ  อันกล่าวว่า

         โลกุตตัง ฌานัง จิตตัง  จิตเเหนือจากฌานสมาบัติ ไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่สมถะ แต่อยู่สภาวะคล้ายสมาธิ แต่ดับกิเลส ไปตามระดับ ภูมิธรรม ของพระอริยะ นั่นเอง

       เรื่องของ ผังการเดินจิตตาม สติปัฏฐาน สันโดด นั้น เป็นแนวทางและพระนิพนธ์ ของ สมเด็จพระสังฆราชา พระญาณสังวร หลวงปู่สุก ไก่เถื่อน ในผูกนี้ มีผูกัณฑ์ที่สำคัญสองสูตร คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขาธรรม อันเนื่องด้วย โพชฌงค์ 7 ถวายแด่ในหลวง สดับฟังกัณฑ์

       วันนี้ถึงได้มากล่าวเรื่องนี้ แต่ก้ไม่ได้เปิดเผยให้ทั้งหมด ยังคงมีบางอย่าง ที่ต้องอาศัยการภาวนา ตามมาด้วย จึงจะเกิดความเข้าใจไม่ใช่แต่เพียงอ่าน เท่านั้น หรือ ฟัง เท่านั้นที่จะรู้ตามได้

      เจริญธรรม / เจริญพร 


หัวข้อ: ลิงก์เพิ่มเติม ของ โพชฌงค์ 7
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 14, 2015, 07:39:40 pm
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5587.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5587.0)

สวดโพชฌงค์ 7 แล้ว หาย ป่วย จริง หรือ ?
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=19084.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=19084.0)

อานาปานสติ มีโพชฌงค์
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3273.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3273.0)

(http://www.madchima.net/kittisak2you/images/Anapana-01.jpg)


หัวข้อ: Re: ถ้าไม่ภาวนา จะนับ ๗ ไม่ได้ เพราะนับไป ก็ไม่มีประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ธันวาคม 14, 2015, 07:53:00 pm

      ขออนุโมทนาสาธุ ครับ


หัวข้อ: Re: ถ้าไม่ภาวนา จะนับ ๗ ไม่ได้ เพราะนับไป ก็ไม่มีประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: nongyao ที่ ธันวาคม 15, 2015, 12:34:14 pm
 :25: st11


หัวข้อ: Re: ถ้าไม่ภาวนา จะนับ ๗ ไม่ได้ เพราะนับไป ก็ไม่มีประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ ธันวาคม 15, 2015, 01:42:52 pm
 :25: st11 st12 like1 like1