หัวข้อ: นานาทัศนะในงานเสวนา "ความเชื่อและการอยู่ร่วมกันโดยสันติ" เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 13, 2016, 07:49:06 am (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2016/01/12/cejcak9ibkhdihfhbd6cb.jpg) นานาทัศนะในงานเสวนา "ความเชื่อและการอยู่ร่วมกันโดยสันติ" นิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร รายงาน ปัญหาความขัดแย้ง รุนแรง และก่อสงคราม ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกรวมถึงประเทศไทยทั้งระดับการเมือง สังคม และที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสาเหตุมาจากด้านข้อมูลข่าวสาร โครงสร้าง ผลประโยชน์ ความสัมพันธ์เชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านค่านิยมความเชื่อนั้นศาสนาก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิดสุดโต่ง วิธีการแก้ปัญหานั้นก็มีอยู่มากมาย แนวทางสันติวิธีคือการเจรจาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือสันติสุขความสงบ การเจรจานั้นประเทศไทยได้นำมาใช้ทั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันนี้ภายใต้การนำของพล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 หัวหน้าเจรจาสันติสุข ในพื้นที่ทางการเมืองนั้น พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ในตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้เสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสริมสร้างสังคมสันติสุขต่อที่ประชุมสนช. ขณะนี้ :25: :25: :25: :25: :25: และในพื้นที่โลกที่มาจากสาเหตุด้านค่านิยมความเชื่อมาจากศาสนาและวัฒนาธรรมนั้น ขณะนี้ก็ได้นำวิธีการเจรจานำมาใช้อาจจะมีชื่อเรียกแตกต่างออกไปเช่น "การสานเสวนา" หรือ "สุนทรียสนทนา" หรือตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Interfait Dialogue" โดยมีชื่อเรียกอย่างเช่น "การสานเสวนาระหว่างศาสนา" ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้ถือเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่นำการสื่อสารเพื่อสันติภาพมาใช้ทั้งสิ้น การสานเสวนาระหว่างศาสนาเกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นระยะๆ และล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2559 พ.ศ.2559 สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสถาบัน Research Centre for Islamic History, Art and Culture (IRCICA) ซึ่งเป็นองค์การภายใต้องค์การความร่วมมืออิสลาม หรือโอไอซี ได้จัดงานสัมมนาเชิงวิชาการ ในหัวข้อ "การเสวนาระหว่างความเชื่อ และการอยู่ร่วมกันโดยสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม" (lnternational Symposium on Interfaith Dialogue and Peaceful Coexistenence in Multiculturat Societies) ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ โดยนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับนายอิยัด อามีน มาดานี เลขาธิการโอไอซี เป็นประธานเปิด :96: :96: :96: :96: :96: ทั้งนี้เพื่อได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เกี่ยวกับแนวทางการอยู่ร่วมกันโดยสันติในสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม การขจัดแนวคิดสุดโต่งและการยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับบทบาทของการศึกษา เยาวชน สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม ทั้งนี้มีผู้แทนจากภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคการศาสนา และสื่อมวลชน รวมทั้งคณะทูตานุทูตจากต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ประมาณ 200 คน เข้าร่วมฟังการสัมมนา และในงานนี้พระโสภณวชิราภรณ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ และพระอาจารย์หรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ที่จะเปิดการเรียนการสอนระดับปริญญาเอกในปีการศึกษา 2559 นี้ ได้พาเจ้าหน้าที่กองวิเทศสัมพันธ์ และนิสิตหลักสูตรปริญญาโท สาขาสันติศึกษา เข้าร่วมด้วย ask1 ans1 ask1 ans1 รมช.กต.ชี้ศาสนาไม่สันติประเทศก็จะไม่สันติ นายวีระศักดิ์ กล่าวสุนทรพจน์เปิดงานสัมมนาว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นความตั้งใจเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันให้เพิ่มมากขึ้น ในเรื่องเคารพการอยู่ร่วมกัน การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และการให้ประชาชนได้ตระหนักความสงบสุข ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญต่อการสร้างสันติภาพและความมั่นคงของโลก 4.รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศ "วันนี้โลกมีความท้าทายทำให้เกิดความระแวงต่อกัน ขาดความไว้วางใจ เราจะมาสร้างความเข้าใจอย่างไร ในความเชื่อที่มีความแตกต่าง เราจึงเชิญบุคคลที่มีความเชื่อที่มีความแตกต่างกัน มาเสวนากัน ฉะนั้น ถ้าศาสนาไม่สันติ ระดับประเทศจะไม่สันติ เราจึงพูดคุยเรื่องความเชื่อ เราควรมองเป็นโอกาสในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำความเข้าใจกัน ขงจื้อกล่าวว่า ถ้าไม่มีความกลมเกลียวในบ้าน ก็ไม่มีสันติในสังคม ถ้าไม่มีความกลมเกลียวในสังคม ก็ไม่มีสันติในชาติ ท่านติชนัชฮันห์ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งผู้บ้านพลัม กล่าวว่า เราต้องรับฟังอย่างแท้จริง เปิดใจรับฟังกัน เราต้องสามารถให้อภัยกันได้ เราอยากเห็นสันติสุข เราพยายามสนับสนุนเพื่อให้เกิดความสามัคคีกัน เราจึงร่วมประชุม เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว มีความเคารพซึ่งกันและกัน เนื่องจากสงครามเกิดขึ้นที่จิตใจของมนุษย์ ดังนั้น เราควรจัดการที่จิตใจของมนุษย์ ฉะนั้น เราต้องเข้าใจกัน เรียนรู้กัน และเคารพกัน ความเป็นพหุวัฒนธรรมนั้นในโลกมีความขัดแย้ง แต่ถ้าเราจะปรองดองกันด้วยสติปัญญา เราจะเกิดสันติสุข" นายวีระศักดิ์ กล่าว ask1 ans1 ask1 ans1 เลขาฯโอไอซีระบุอิสลามถูกมองเป็นศาสนารุนแรง นายอิยัด อามีน มาดานี เลขาธิการโอไอซี กล่าวในการสัมมนาโดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความเป็นเอกภาพ จะไปสู่สันติภาพและทำให้เกิดการปรองดองกันได้ในยุคโลกภิวัตน์ สิ่งนี้เป็นรากฐานทางความคิด สามารถส่งผลต่อสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม "ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่มาอยู่ ณ กรุงเทพฯ ในการมาพูดคุยเกี่ยวกับพหุวัฒนธรรม ในการประชุมครั้งนี้ เรามีความขัดแย้งกันทั่วโลกอย่างกว้างขวาง เพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง เราเป็นโลกาภิวัฒน์ อะไรทุกอย่างรวดเร็ว สื่อสารข้อมูลอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องมาคุยกันถือว่าเป็นโอกาส ที่เราจะต้องมีความอดทนต่อกัน เราจะมาสร้างความไว้วางกัน ไม่สร้างความเกลียดชังต่อกัน เรามีความเชื่อต่างกัน ในอดีตเด็กเยาวชนเดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาเรียนรู้วิถีพุทธ เพราะไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่ศาสนาอิสลามในมุมมองของผู้คนมองว่าเป็นศาสนาแห่งความรุนแรง แต่เราอยากให้ทำความเข้าใจศึกษา เพราะทุกศาสนามีแก่นแท้ ทุกศาสนาพูดเรื่องความยุติธรรม ความเสมอภาค ความเชื่อทางศาสนามีความสำคัญมาก เราต้องทำความเข้าใจกัน แล้วเราต้องขยายวงกว้างออกไปให้ทุกคนได้ทราบ ทำอย่างไรเราถึงจะมีเครือข่ายร่วมกัน เราอยู่ไม่ได้ ถ้าเรายังมีความขัดแย้งกัน เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร" เลขาธิการโอไอซี กล่าว :41: :41: :41: :41: :41: ทั้งนี้ในงานสัมมนาดังกล่าว ยังมีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและอดีตเลขาธิการอาเซียน Tan Sri Dato Sri Dr. Syed Hamid Albar อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย และ ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมมสากิโย) ร่วมเป็นวิทยากร ask1 ans1 ask1 ans1 พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ชี้ต้องเปิดใจรับฟังศาสนาอื่น พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเห็นความสำคัญในเรื่องการอยู่ร่วมกัน ความเชื่อ ความอดทน ในความแตกต่าง ซึ่งสังคมมีความแตกต่าง มีความขัดแย้ง เราจึงกลับมาพูดพื้นฐาน คือ ความเชื่อความศรัทธา ซึ่งมักจะชี้ผิดให้คนอื่น จริงๆ เราคือต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้ง "เวลาเราพูดเรื่องสันติสุข ถือว่าเป็นเรื่องยากเกี่ยวกับสันติสุข ซึ่งทุกหนทุกแห่งพูดเรื่องสันติสุข แต่การปฏิบัติเรามักจะยืนหยัดความคิดของตนเอง เราเริ่มจากความขัดแย้งเล็กน้อยๆ เรามักมุ่งอุดมการณ์ของตนเอง ทำอย่างไรก็ตามให้ได้มา คำว่า สันติสุข เป็นแค่คำกล่าวทักทายไหม เหมือนคำว่า สวัสดี สบายดี สันติสุขเพื่อกลุ่มตนเองใช่ไหม ? เราเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้น แต่พระพุทธศาสนามุ่งไม่ ว่าร้ายใคร มุ่งไม่ทำร้ายใคร ถือว่าเป็นคำสอนหลักของพระพุทธศาสนา สันติสุข แปลว่า ความเงียบ ความสงบ คำว่า Peac เป็นการเห็นอกเห็นใจกัน st12 st12 st12 st12 เราต้องเปิดใจรับฟังศาสนาอื่น เราต้องอดกลั้นต่อแนวความคิดที่ต่างกัน อดกลั้นต่อคำสอนที่มีความแตกต่างกัน เราจะเอาความแตกต่างทางความเชื่อมาสร้างสันติสุขได้อย่างไร นี่คำถามที่ต้องหาคำตอบร่วมกัน เรื่องราวของไวโอลีนเป็นของดี แต่คนที่เล่นนั้นมีความแตกต่างกัน ฉะนั้น เราต้องฝึกเล่นไวโอลีนให้ไพเราะ ทุกอย่างอยู่ที่คนเล่น ย้ำไวโอลีนดีแน่นอน แต่คนเล่นไวโอลีน เล่นถูกต้องหรือยัง ฉะนั้น เราจะไม่ชี้นิ้วโทษคนอื่น แต่เราจะพัฒนาฝึกฝนตนเอง" พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าว หัวข้อ: Re: นานาทัศนะในงานเสวนา "ความเชื่อและการอยู่ร่วมกันโดยสันติ" เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 13, 2016, 07:59:14 am (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2016/01/12/adedddhb5b7aaaaii8g67.jpg) "สุรินทร์"แนะก้าวข้ามศาสนาเชิงสัญลักษณ์แก้ขัดแย้งได้ ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า ว่า นับตั้งแต่ยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นช่วงเวลาขององค์กรต่างๆ ในรัฐต่างๆ ต้องการที่จะแยกตัวออกไปเพื่อเสนอเอกลักษณ์ของตัวเอง เพราะโลกาภิวัตน์ เปิดที่ว่างให้กับทุกศาสนา วัฒนธรรม ชุมชน และชาติพันธุ์ สามารถพัฒนาความเป็นตัวตน ท่ามกลางความหลากหลายของวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกัน รัฐที่เป็นพื้นฐานความพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราจะเห็นความเป็นตัวตนของทุกคน ทุกศาสนา บนโลกใบนี้ ตัวเราเองก็ต้องมีวิวัฒนาการ ในฐานะที่เราอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ เพราะทุกสิ่งที่เราต้องเผชิญ ทั้ง ภัยพิบัติ ภาวะโลกร้อน เหตุการณ์ก่อการร้าย เราทุกคนบนโลกใบนี้ ก็ต้องเผชิญด้วยกัน และบางสิ่งที่เราต้องเจอ เราไม่สามารถได้รับการปกป้องจากรัฐบาลของเราได้เพียงอย่างเดียวแล้ว เรียกได้ว่า เราควรตระหนักรู้ความเป็นมาเป็นไปต่างๆ ในโลกใบนี้ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากร ของโลกเราที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เพียงพอกับทุกคน :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: เราต้องร่วมกันบริหารจัดการความหลากหลาย เพื่อก้าวไปสู่อนาคตเดียวกัน เราต้องมองว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่รู้ความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่เราต้องยอมรับว่า คนอื่น ก็รับรู้ความจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้น เราต้องรู้จักรับฟังผู้อื่น อำนวยความสะดวก และเคารพความแตกต่างของคนอื่นด้วย ว่า มนุษย์มีความแตกต่างกันทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทุกสังคม และทุกคนล้วนแล้วแต่มีข้อแม้ของแต่ละคน ที่ต้องการความยุติธรรม ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม ดังเช่น มติของ ยูเอ็น วาระที่ 23 ที่ระบุว่า ในปี 2030 โลกของเราจะอยู่กับคำว่า ยั่งยืน เพราะสิ่งแวดล้อมกำลังจะหมดไป เรา จึงต้องมีการจัดสรร ทรัพยากร ให้ทุกประเทศ ทุกรัฐบาลบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างยั่งยืน ความเท่าเทียม และความเที่ยงธรรม ยุติธรรม ทั่วโลก เราต้องรู้ว่า เราไม่สามารถอยู่ในสังคมใด โดยไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรง ดังนั้น เราต้องทำให้สังคมเกิดความยุติธรรม เที่ยงธรรม :32: :32: :32: :32: นำเป้าหมายร่วมกัน คือความสันติ เข้ามามีส่วนร่วม ในการเดินทางสู่อนาคตไม่ว่าจะอีก 25 ปี หรือ 100 ปี ข้างหน้า เราก็ต้องเดินทางไปสู่อนาคตร่วมกัน ขณะนี้ ตัวเลขของผู้อพยพ ลี้ภัยทั่วโลก กว่า 23 ล้านคน เดินทางไปทั่วโลก และส่วนมาก 16 ล้านคน เป็นชาวมุสลิม เพราะประเทศต่างๆเหล่านั้นเกิดปัญหาความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองในประเทศ ผู้อพยพ ลี้ภัย จึงต้องพาครอบครัว ลูกหลาน เดินทางไปยังประเทศที่ต่างๆ เพื่อหาสิ่งที่ดีกว่า ให้กับชีวิต และอนาคต (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2016/01/12/gaa5hcgad8eihg8b587a6.jpg) ดังนั้น เราต้องมีการรับประกัน ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เราต้องบริหารจัดการ ให้สามารถ มีพอใช้ได้ถึงอนาคตข้างหน้า ต้องมีความสงบสุข และมีความเอื้อเฟื้อต่อกัน คำว่า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก เป็น สาส์น ของทุกศาสนา ที่ส่งมายังโลกมนาย์ ว่าคนเราเกิดมาต้องมีความเมตตา และเอื้อเฟื้อต่อกัน ดูแลกันและกัน คนเราติดต่อสื่อสารกันโดยใช้สัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม ซึ่งส่วนมาก เราติดอยู่ที่สัญลักษณ์ แต่ไม่สามารถก้าวข้ามคำว่าสัญลักษณ์ได้ ซึ่งภาษา ก็คือสัญลักษณ์ อย่างหนึ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน นี่คือความท้าทายที่รุนแรง เราต้องก้าวข้าม สัญลักษณ์ ออกไปให้ได้ เราต้องเข้าใจ ศาสนา ภาษา โดยใช้หัวใจในการเรียนรู้ ว่าไม่ใช่มีเราคนเดียวที่อยู่บนโลกใบนี้ แต่ยังมีคนอื่นๆด้วย และย้ำว่า เราต้องเคารพ ซึ่งกันและกัน รวมถึงต้องเอื้อเฟื้อกันด้วย :96: :96: :96: :96: :96: ทั้งนี้ ดร.สุรินทร์ กล่าวย้ำ ว่า ไม่มีสังคมใด ไม่ว่าจะเป็นศาสนา อารยธรรม ต่างๆ อยู่ได้อย่างสันติสุขด้วยตนเอง เรามีปัญหากันในทุกสังคม โดยนิติรัฐ นั้น ในบางสังคม ไม่สามารถเอาผิดกับผู้กระทำผิดบางกลุ่ม ด้วยระบบ อุปถัมภ์ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ในสังคม ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคม ในส่วนนี้ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง และในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราต้องเปิดใจ เพื่อใฝ่หาสันติสุข ทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน อย่างสันติสุข (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2016/01/12/95b8adjbecj8gicifaa7j.jpg) "ชัยวัฒน์"แนะไม่ควรเน้นสอนด้านศาสนา ต่อจากนั้นเป็นการอภิปรายเรื่อง เรื่อง "การศึกษาและบทบาทของเยาวชนในการรักษาและส่งเสริมการเสวนาระหว่างความเชื่อและวัฒนธรรมสันติภาพ" ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ด้านการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักสันติวิธี กล่าวว่า สิ่งที่ผมจะพูดเป็นแนวความคิดของกระผมเองเท่านั้น เราจะต้องคิดไปให้ไกลถึงการวางยุทธศาสตร์ การจะเป็นไปได้ คือ เกี่ยวกับสันติภาพของเยาวชน ซึ่งกรณีของปารีส จำนวนของมัสยิดของฝรั่งเศลมีการเพิ่มขึ้น "ควรหรือไม่ในโรงเรียนควรจะเรียนศาสนา เพราะมีการโต้แย้งกันมาก" :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: "เราต้องพัฒนาคนรุ่นใหม่ศึกษารูปแบบสันติภาพ ระบบการศึกษาล้มเหลว จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง ฉะนั้น เราต้องบูรณาการในการสอน ซึ่งศาสนาอิสลามโดยโทษว่าก่อการร้าย เราต้องดูบทบาทของเยาวชนด้านสันติภาพ ผมคิดว่าการศึกษามิใช่การให้อะไรบางอย่าง ศิลปะในการสอนที่ดีที่สุด คือ ต้องนำสิ่งที่ดีที่สุดของผู้เรียนออกมาให้ได้ นำออกมาใช้จริงๆ ค้นพบอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องสามารถเห็นคุณค่าของแต่ละคน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงมาก เยาวชนก็มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในเรื่องของสันติวิธีเราต้องพิจารณาให้ดี เวลาเราพูดถึงวัฒนธรรม เรามักจะพูดถึงว่าใครดีกว่ากัน สังคมเต็มด้วยความรุนแรงและสังคมสงบสุขมีความแตกต่างกัน ศาสนาโดยอ้างเพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรม" ศ.ดร.ชัยวัฒน์ กล่าว Dr.Steve Taylor ผู้อำนวขการด้านการวิจัยและพัฒนา พระคริสตธรรมกรุงเทพ กล่าวว่า เรื่องสันติภาพเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เราต้องระวังความคิดที่สุดโต้งทางศาสนา ซึ่งเยาวชนต้องการแรงกระตุ้น ซึ่งในคำภีร์ สอนให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี หาเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ เช่น กีฬา ถือว่าเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้กันและกัน อยากให้มีความรู้สึกว่า เราเป็นเจ้าของโลก ให้เราร่วมรักษาร่วมดูแลโลกร่วมกัน :49: :49: :49: :49: เราต้องกระตุ้นพลังความดีร่วมกัน เยาวชนควรทำงานร่วมกัน เรียนรู้กันทางวัฒนธรรม เราต้องส่งเสริมเยาวชนเรื่องสิ่งแวดล้อม เราต้องกระตุ้นให้เยาวชนมาดูแลสิ่งแวดล้อม ปกป้องรักษาโลกร่วมกัน พระเยซู กล่าวว่า...รักเพื่อนบ้านให้เหมือนรักตนเอง สอนให้รักคนภายนอก ไม่ใช่รักตนเองอย่างเดียวเท่านั้น เชลฟี่ จะมุ่งที่ตนเองเท่านั้น เราควรเป็นรับใช้ มิใช่กอบโกยอะไรต่างๆ จากโลกนี้ พระเยซูเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร พระเยซูเป็นผู้รับใช้ รับใช้คนอื่นได้ ฉะนั้น เราต้องฝึกร่วมทำงานกับเยาวชน เช่น ช่วงสึนามิ เยาวชนลงมือไปช่วย เราต้องไม่ใช่แค่พูด เราต้องลงไปเลย เราต้องให้พื้นที่เยาวชนแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่" ผู้อำนวขการด้านการวิจัยและพัฒนา พระคริสตธรรมกรุงเทพ กล่าว เยาวชนบางคนกลายเป็นที่สุดโต่ง เพราะสังคมไม่เข้าใจเขา เราต้องฝึกเยาวชนเหล่านี้มาเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เราฝึกเยาวชนระหว่างศาสนาให้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ด้วยการผ่านกิจกรรม ต้องลงมือปฏบัติเท่านั้น สันติภาพจึงจะเกิดขึ้นจริง (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2016/01/12/6ebe85a5ahgebj6ea5j6b.jpg) อ.มหิดลติงการศึกษาไทยยังบ่มเพาะความรุนแรง ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การศึกษาเกี่ยวสิทธิมนุษยชน ควรจะมีเยาวชนออกมาแบ่งปัน คำว่า การศึกษาถือว่าเป็นสิทธิ การศึกษาควรมีความเท่าเทียมกัน เสมอภาคกัน ถึงจะเกิดสันติภาพ การศึกษาควรจะเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวก เป็นการค้นพบตัวตน เรามีความคาดหวังกับการศึกษามาก เพราะจะนำมาซึ่งความยุติธรรม และ ประชาธิปไตย การศึกษารับใช้ความต้องการของมนุษย์ทางสังคม การศึกษาเป็นเชิงพาณิชย์ไปแล้ว เรายังเรียกเยาวชนว่า เป็นลูกค้า "การศึกษาดีกว่าจะมีการงานและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เราอาจเรียนเฉพาะทาง เพื่อเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยการผ่านการศึกษา การศึกษาเกี่ยวกับสันติสุข มี 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับชุมชน ระดับโลก ซึ่งการศึกษาเกี่ยวกับสันติสุขนั้น เรายังไม่ลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งมหาวิทยาลัยยังให้วิชาเกี่ยวกับสันติเป็นวิชาเลือก มิใช่วิชาบังคับ ซึ่งเป็นวิชาที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต เยาวชนอาจจะแสดงถึงความรุนแรง เป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม เราต้องให้เยาวชนมามีส่วนร่วมเรื่องสันติสุข ควรจะมีบทบาท โอกาส ส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านสันติภาพ เราควรมีการสานเสวนากับเยาวชนในเรื่องของสันติภาพ เรามักจะให้องค์ความรู้เยาวชนเท่านั้น แต่ยังไม่ลงมือปฏิบัติอย่างชัดเจน จากระบบการศึกษาของเรานั้นพบว่าการศึกษาเป็นกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรง ฉะนั้น ต้องให้เยาวชนมามีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพ การศึกษาจึงเป็นเครื่องสำคัญ st12 st12 st12 st12 ต่อจากนั้นเป็นการอภิปรายเรื่อง เรื่อง "อิทธิพลและบทบาทของสื่อมวลและภาคประชาสังคมในการส่งเาริมการเสวนาระหว่างความเชื่อและการอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข" Dr.Sadik Unay กล่าวว่า สื่อทำให้เรารู้จักกันอย่างมาก แต่สื่อก็ทำให้เราเกิดความขัดแย้งได้อย่างรวดเร็ว เราต้องพยายามดึงคนที่มีความเชื่อต่างกันมาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อทำความเข้าใจ โดยมีกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ เป็นเครื่องมือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เชื่อต่างกัน แต่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข เรามีการจัดโรงเรียนฤดูร้อน เพื่อให้เรียนรู้เกี่ยวกับสันติสุข เราต้องมีกิจกรรมเป็นสร้างสันติภาพระยะยาว พุทธกับอิสลาม เรามีความพยายามคุยกันมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจ สนับสนุนนักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ฝึกการมีประสบการณ์ร่วมกัน ส่วนสื่อมวลชน ณ ตอนนี้เราใช้สื่อในวงที่กว้างขวางมาก คนจะชอบข่าวเชิงลบมากกว่าข่าวที่เป็นบวก :25: :25: :25: :25: ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อสันติภาพและการพัฒนา สำนักจุฬาราชมนตรี กล่าวว่า สันติภาพเป็นแก่นของศาสนาอิสลาม ซึ่งศาสนาอิสลามเน้นย้ำเรื่องสันติภาพ สิ่งที่ชอบคือ สุนทรียสนทนา ซึ่งในคำภีร์เน้นให้สนทนากันด้วยวิถีแห่งสุนทรียสนทนา อิสลามเชื่อว่าแก้ปัญหาที่ถูกต้อง คือ ต้องอาศัยการเจรจา ซึ่งประเด็น ความรุนแรงเกิดจากความสุดโต้งของกลุ่มเล็กๆ ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของคนศาสนาทำให้เกิดความกลัว "เราจะมุ่งให้เดินทางสายกลาง ทั้งอิสลามและพุทธศาสนา มีคำสอนเหมือนๆ กัน แต่ความรุนแรงเหมือนยังเกิดขึ้นจากกลุ่มที่สุดโต่ง เราพยายามสร้างนักวิจัย เพื่อนำไปสู่ทางสายกลาง เรามีการสานเสวนาพุทธ-มุสลิมกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยมีสมมุติฐานเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมไทย มี 4 ประเด็น คือ 1.สังคมไทยมองอิสลามเป็นภัยคุมคาม 2.สังคมไทยมองอิสลามเป็นความน่ากลัว 3.สังคมไทยมองอิสลามว่าเป็นเหยื่อของความรุนแรง 4.สังคมไทยมองอิสลามว่สเป็นทางออกของปัญหา ที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนว่าเป็นจริงตามสมมุติฐานนี้หรือไม่" ดร.อับดุลเลาะ กล่าว (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2016/01/12/jj66eck8f57i7ja8ib6ab.jpg) "กวี จงกิจถาวร" ชี้ชัดสื่อไทยมีความล้มเหลว 3 ด้าน นายกวี จงกิจถาวร ผู้ช่วยบรรณาธิการเครือเนชั่นมีเดียกรุ๊ป กล่าวว่า ที่ผ่านมามีความล้มเหลวของนักข่าว 3 ประการ คือ 1.สื่อสารข่าวทางลบ เพราะคนสนใจมาก 2.ไม่มีข่าวของเราเอง ตามสื่อตะวันตก 3.ไม่มีเครือข่ายขาดการสื่อสารกัน "ทำไมสื่อล้มเหลว เราจะเขียนที่ไม่ดี แต่ไม่มีใครเขียนข่าวที่ดีเลย เราก็จะโทษนักข่าว กลุ่ม ไอเอสประสบความสำเร็จในการใช้สื่อ ผมกลัวมากที่จะเขียนเกี่ยวกับอิสลาม พราะถ้าผิดเราจะลำบากมาก นักข่าวเรากลัวนะที่จะเขียนข่าวเกี่ยวกับอิสลาม ซึ่งนักข่าวในเมืองไทยเองก็ไม่มีใครกล้าเขียนข่าวเกี่ยวอิสลามในภาคใต้ เพราะเรากลัวเขียนผิด ตกที่นั่งลำบาก ระดับอาเชียนเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว แต่เราขาดการเป็นสื่อสารเดียวกันเท่านั้น เราต้องการคนรุ่นใหม่ที่จะเขียนข่าวที่ดีๆ ของโลก ซึ่งปัจจุบันเรามีแต่ข่าวลบๆ ทั้งนั้น" นายกวี กล่าวว่า :25: :25: :25: :25: และในวันที่ 12 ม.ค. สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ จะนำคณะวิทยากรและผู้แทนสถาบัน IRCICA ทัศนศึกษาชุมชนกุฎีจีน-คลองสาน ซึ่งเป็นตัวอย่างของชุมชนไทยหลากหลายศาสนาที่อยู่ร่วมกันโดยสันติมานานหลายชั่วอายุคน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเสรีภาพในการนับถือศาสนาในประเทศไทย ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/detail/20160112/220374.html (http://www.komchadluek.net/detail/20160112/220374.html) |