สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมสิ่งแรกที่เราทำทันทีเมื่อลืมตาตื่นขึ้นทุกเช้า ก็คือ หยิบมือถือมาเปิดเช็กความเคลื่อนไหวบนโลกโซเชียล หรือทำไมทุกวันนี้ผู้ใช้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะอย่างเราๆ ไม่ว่าจะต้องยืนบนรถไฟฟ้า รถใต้ดิน หรือรถเมล์นานแค่ไหน ก็แทบจะไร้ซึ่งความเมื่อยล้า เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับบทสนทนาและภาพตัวเองกับมวลหมู่ญาติมิตรบนหน้าจอไลน์ หรือเฟซบุ๊ก
 
โดยเฉพาะเฟซบุ๊กนั้น เรียกว่าเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ตัวจริงที่ครองใจชาวโลกยุคนี้ จากผลสำรวจโดยนีลเส็น บริษัทวิจัยตลาดชื่อดังเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดอันดับให้เฟซบุ๊ก เป็นแอพยอดนิยมบนมือถือแห่งปีของชาวสหรัญ ด้วยยอดผู้ใช้งานเฉลี่ยต่อเดือน 126 ล้านคน
    ขณะที่ในเอเชียเอง ก็มีข้อมูลล่าสุดอย่างเป็นทางการจากเฟซบุ๊ก ประกาศว่า
    มีเผยยอดใช้งานเฟซบุ๊กในเอเชีย 300 ล้านคนต่อวัน จากจำนวนประชากรเฟซบุ๊กทั่วโลกกว่า 1,000 ล้านคน
    สำหรับประเทศไทย ล่าสุดก็รั้งอันดับ 1 ใน 6 ประเทศ ที่มีจำนวนผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์สูงสุดของโลก
 
 :96: :96: :96: :96:

เมื่อไม่นานนี้ มีบทความในเว็บไซต์ www.businessinsider.com (http://www.businessinsider.com) รายงานผลงานวิจัยน่าสนใจจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง คอร์แนล เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้เฟซบุ๊ก ที่เผยให้เห็นว่า ทำไมหลายๆ คนยิ่งใช้เฟซบุ๊ก ก็ยิ่งติด และเกิดอะไรขึ้นกับคนที่พยายามหลุดจากสังคมออนไลน์เครือข่ายนี้
 
     ผลการวิจัยพบ 4 เหตุผลในการ “ติด” เฟซบุ๊ก ได้แก่
     1.ไม่มีเครือข่ายสังคมออนไลน์คู่แข่งที่มีอำนาจดึงดูดเทียบเท่าเฟซบุ๊ก
     2.หลงคิดไปว่าตัวเองเสพติดเฟซบุ๊ก ดังนั้นหากต้องการลด ละ เลิกให้ได้ ก็ต้องพร่ำบอกตัวเองว่า เราคือนาย ไม่ใช่ทาสเฟซบุ๊ก อยากเล่น ก็เล่น อยากหยุด ก็หยุด
     3.การมีภาวะอารมณ์จิตตก ซึ่งหากยังหมกมุ่นกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ด้วยเหตุผลข้อนี้ ก็ต้องพึงระวังต่อความรู้สึกย่ำแย่ที่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ
     4.เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และมัวแต่วิตกว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จึงหวังพึ่งพิงสังคมเสมือนจริง แทนที่จะไปหาสิ่งยึดติดที่มีตัวจนจริงๆ อย่างเพื่อนฝูง หรือสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก
 
 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

อาจมีข้อสงสัยว่า ผลวิจัยนี้ได้มาด้วยวิธีการใด เหตุใดผลลัพธ์จึงค่อนข้างอิงกับอารมณ์ความรู้สึกมากเหลือเกิน ก็ขอเฉลยว่า เทคนิคการวิจัยน่าสนใจมาก คือ การสร้างสรรค์แคมเปญรณรงค์ให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใช้เฟซบุ๊ก ไม่เข้าเฟซบุ๊กเลยเป็นเวลา 99 วัน โดยระบบจะทำการติดตามพฤติกรรมผ่านเว็บไซต์ www.99daysoffreedom.com (http://www.99daysoffreedom.com)
 
และผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ความสิ้นหวังของแคมเปญรณรงค์นี้ เพราะปรากฏว่าไม่มีใครเลย ที่สามารถ “อดใจ” ไม่ให้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์บนเฟซบุ๊กได้ตลอดทั้งแคมเปญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นยอดกดไลค์
 
อินโนเทค : ทำไมใครๆ ก็เล่นเฟซบุ๊ก : โดย...คนชอบเล่า
http://www.komchadluek.net/detail/20160117/220631.html (http://www.komchadluek.net/detail/20160117/220631.html)