สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: sanwhan ที่ มกราคม 02, 2010, 09:39:42 pm



หัวข้อ: เห็นเพื่อนทุจริต ในงาน
เริ่มหัวข้อโดย: sanwhan ที่ มกราคม 02, 2010, 09:39:42 pm
แสนหวาน มีเพื่อนที่ทำงาน รู้จักกันดี และเคยช่วยเหลือกันบ่อย ในงานเป็นที่ปรึกษาเวลาทำงาน
แต่แสนหวานเห็นเพื่อนคนนี้ แอบขโมย ของที่ทำงานออกไปบ่อย ๆ
ทำอย่างไรอยากให้เพื่อน กลับใจเลิกทำ เป็นห่วงกลัวเขาตกงาน :'(


หัวข้อ: โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 06, 2010, 11:44:49 am
บาปกรรมอันเกิดจากการทําผิดศีล 5

ละเมิดศีลข้อแรกคือ การทำลายชีวิต หากทำลายชีวิตบุพพการีถือว่าเป็นอนันตริยกรรมคือกรรมหนัก กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าประหารชีวิตสถานเดียว การฆ่า การทำลายชีวิตซึ่งเป็นการละเมิดศีลข้อ ๑ ผิดทั้งกฎหมายของบ้านเมือง และผิดศีล ผิดหลักพระพุทธศาสนาด้วย

โทษขอการละเมิดศีลข้อที่ ๑ คือการทำลายชีวิตนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
“ภิกษุ ทั้งหลาย ปาณาติบาต (การทำลายชีวิต) ที่บุคคลทำจนคุ้น ทำจนเคยตัวทำอยู่เรื่อย ๆ ไป ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในกำเนิดเปรตวิสัย
วิบากคือเศษกรรม (ผลกรรมที่เหลือ) ของการทำลายชีวิตอย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำซึ่งเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนอายุสั้น (พลันตาย)

โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๒
คือ อทินนาทาน ได้แก่ลักทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
“ภิกษุ ทั้งหลาย อทินนาทาน (การลักทรัพย์) ที่บุคคลทำจนคุ้น ทำจนเคยตัวทำอยู่เรื่อยไป ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย

วิบากหรือเศษกรรม เศษของโทษ ที่ละเมิดศีลข้อ ๒ คือลักทรัพย์ (อทินนาทาน) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลาย เป็นคนมีทรัพย์วินาศย่อยยับ (เช่น ถูกไฟ ไหม้หรือโจรผู้ร้ายปล้น เป็นต้น)

[b]โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๓[/b] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
วิบากของกาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกจองเวร

โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาท (พูดปดหลอกลวง) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
วิบากคือเศษกรรม ของการพูดปดหลอกลวง อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกกล่าวตู่ด้วยความเท็จ

โทษขอการละเมิดศีลข้อที่ ๕ คือ สุราเมรัย นั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย การดื่มสุราเมรัย ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
วิบากของการดื่มสุราเมรัย (เสพยาเสพย์ติด) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนบ้า

สำหรับศีลข้อ ๕ การเสพยาเสพย์ติดทุกชนิด เช่น เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาม้า ยาบ้าน ยาอี โคเคน เป็นอาที ก็สงเคราะห์เข้าในศีลข้อนี้ ผู้ใดเสพ ก็ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อ ๕ นี้ด้วยเช่นกัน
ปกติมนุษย์ก็เมาอยู่แล้ว ด้วยกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะและโมหะ ยิ่งเติมสิ่งเสพย์ติดเข้าไปอีก จึงเมาและบ้ากำลัง ๒ (ยิ่งบ้ากันใหญ่) เที่ยวจับคนเป็นตัวประกันบ้าง โดดตึกตายบ้าง ฆ่าเมีย ฆ่าลูก ฆ่าตัวเองฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองตายบ้าง

เมืองไทยคนไทยเดินอยู่ตามถนนเตียน ๆ แท้ ๆยังถูกจับไปเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
เมืองไทยคนไทยเดินอยู่ตามถนนเตียน ๆ แท้ ๆ ยังถูกจับไปเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
เพราะ ฉะนั้น จงรีบเร่งรักษาศีล ๕ กันเถิดครับ เพื่อกำจัดปัญหาทางสังคมที่เกิดจากการที่มนุษย์ไม่รักษาศีล ๕ จึงเกิดโทษต่าง ๆ นานา มากหลายดังที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยานให้เห็นอยู่

ผู้ละเมิดศีลข้อ ๕ ท่านกล่าวว่าวิบากกรรมที่เหลือย่อมทำให้เป็นบ้าเป็นคนเสียสติ
ในเวสสัตตรทีปนี ภาค ๒ ท่านพรรณนาให้เห็นคนบ้า ๘ จำพวก ดังนี้
. บ้าเพราะกาม
. บ้าเพราะโทสะ
. บ้าเพราะทิฎฐิ
. บ้าเพราะหลงใหล
. บ้านเพราะผีสิง (คือโลภ โกรธ หลง)
. บ้าเพราะดีเดือด
. บ้าเพราะเหล้า และ
. บ้าเพราะประสบเหตุร้าย
.
มีคำอธิบายขยายความดังนี้ครับ
. คนบ้ากาม ย่อมทำอะไรตามใจตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ
. คนบ้าเพราะโทสะ ย่อมมุ่งร้ายตกอยู่ในอำนาจการเบียดเบียน
. คนบ้าเพราะทิฎฐิ จิตย่อมวิปลาส คือมีความเป็นคลาดเคลื่อน
. คนบ้าเพราะหลง ความคิดย่อม เลอะเลือน
. คนบ้าเพราะผีสิง ย่อมตกอยู่ในอำนาจผี (กิเลส)
. คนบ้าเพราะดีกำเริบ ย่อมแล้วแต่ดีจะกำเริบ
. คนบ้าเพราเหล้า ย่อมตกอยู่ในอำนาจการดื่ม
. คนบ้าเพราะประสบเหตุร้ายย่อมตกอยู่ในอำนาจของความเศร้าโศก


   ที่มา http://www.kanlayanatam.com/sara/sara6.htm (http://www.kanlayanatam.com/sara/sara6.htm) - http://www.kanlayanatam.com/sara/sara6.htm (http://www.kanlayanatam.com/sara/sara6.htm)
http://www.watkoh.com/kratoo/printer_friendly_posts.asp?TID=2260 (http://www.watkoh.com/kratoo/printer_friendly_posts.asp?TID=2260)


   หากเป็นไปได้ หาโอกาสชวนเพื่อนเข้าวัด หากุศโลบายตามสมควร เพื่อให้อาราธนาศีล ๕
แต่ถ้ายังไม่เลิกนิสัยนี้ ให้หาวิธีคุยถึงโทษของการทำผิดศีลข้อ ๒
   ถึงที่สุดแล้ว หากยังไม่เลิก คงต้องปล่อยไปตามเหตุุปัจจัยที่จะตามมา

   อนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลของคุณแสนหวาน


หัวข้อ: Re: เห็นเพื่อนทุจริต ในงาน
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 10:31:07 pm
       รากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ (1) เกิดความต้องการแล้วสนองตอบไม่เพียงพอ
และ (2) เกิดความต้องการแล้ว และแม้สนองตอบเพียงพอแล้ว ก็ยังเกิดความต้องการอีกไม่สิ้นสุด สรุปใจความว่า
การสนองตอบความต้องการนั้นไม่ใช่หนทางทำให้ปัญหาของมนุษย์หมดไป เพราะเป็นวิธีการไล่ตามหลังปัญหา
จึงอนุมานได้ว่า "ความต้องการ" นี่แหละคือ "ตัวปัญหา" ที่แท้จริง หาใช่ "การสนองตอบ" ไม่ ดังนั้น วิธีการแก้ไข
ปัญหาของมนุษย์นั้นผิดมาตั้งแต่ต้น


(http://www.krirk.ac.th/faculty/communication_arts/truexpert/imageshare/CC012.GIF)

         คนพาลมืดบอดแท้          เห็นผิด
ใจชั่วทุจริต                          น่าเศร้า
หยิบฉวยอยู่เนืองนิตย์           คงย่าม ใจนา
เผลออย่าคาหนังเข้า            ห่อนรู้โทษทัณฑ์.
     
                                                                   
                                                      ธรรมธวัช...!


http://www.krirk.ac.th/faculty/communication_arts/truexpert/@information/education/50_0124university.html


หัวข้อ: Re: เห็นเพื่อนทุจริต ในงาน
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ ตุลาคม 21, 2010, 01:35:26 am
 :25: