หัวข้อ: ย้อนอดีตกรุ (ง) แตก : เปิดกรุวัดราชบูรณะ ตอนที่ 3 ‘เครื่องประดับเศียรทองคำ’ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ เมษายน 06, 2016, 08:25:08 am (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCF6854.jpg) (จากซ้าย) พระมาลาทองคำ และจุลมงกุฎทรงน้ำเต้าจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะซึ่งคนร้ายลักลอบขุดเมื่อ พ.ศ. 2499 ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาย้อนอดีตกรุ (ง) แตก : เปิดกรุวัดราชบูรณะ ตอนที่ 3 ‘เครื่องประดับเศียรทองคำ’ เมษายน เป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยมากมาย หนึ่งในนั้น คือการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน นพศก ตรงกับ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เป็นเหตุให้มีการย้ายราชธานีลงไปทางทิศใต้ ณ กรุงธนบุรี ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯทุกวันนี้ พระราชโบราณสถาน อีกทั้งวัดวาอารามที่เคยงดงามเกินบรรยายต่างทรุดโทรม ร่วงโร และรกร้าง กรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งโรจน์กลายเป็นเพียงอดีต ต่อมาในราว พ.ศ.2499 เกิดเรื่องที่ทำให้ชื่อของราชธานีแห่งนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของคนไทยอีกครั้ง นั่นคือเหตุการณ์ ‘กรุแตก’ ซึ่งเริ่มมีเค้าลางมาจากเรื่องที่เล่ากันหนาหูว่า มีผู้เสียสตินำเครื่องทองงดงามระยับไปร่ายรำท่ามกลางชุมชนใน ‘ตลาดเจ้าพรหม’ ตลาดใหญ่ในตัวเมืองอยุธยา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว :32: :32: :32: :32: เรื่องนี้ถูกนำมาสอดแทรกไว้ในเรื่องสั้น “ขุนเดช” ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ในเครือ “มติชน” สุจิตต์เล่าว่า ตนได้ข้อมูลมาจาก “อามหา-จิรเดช ไวยโกสิทธิ์” หรือขุนเดชตัวจริงในเรื่องสั้นชุดดังกล่าวที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้ง เหตุการณ์จริงต่อจากนั้น คือในเดือนกันยายน พ.ศ.2500 กรมศิลปากรได้พบเครื่องทองคำราชูปโภค พระพุทธรูป สถูปทองคำ และพระพิมพ์มากมายภายในพระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดราชบูรณะ จากนั้นได้หาทางทำอุโมงค์ และบันไดลงไปในกรุลึกลับ ต้องคลำทาง วางแผน บันทึกผังกรุ และโบราณวัตถุมหาศาลที่ได้พบอย่างไม่คาดฝัน กลายเป็นหนึ่งในอภิมหาตำนานแห่งการค้นพบมรดกอันประเมินค่าไม่ได้จากบรรพชนยุคกรุงศรีอยุธยาที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCF6651-768x512.jpg) สภาพภายในพระปรางค์วัดราชบูรณะ ซึ่งมีคนร้ายลักลอบขุดกรุได้สมบัติมหาศาล เมื่อ พ.ศ.2499 เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงรายละเอียดของการขุดกรุดังกล่าวในทุกขั้นตอน ถูกบันทึกไว้อย่างถี่ถ้วนและเต็มไปด้วยสีสัน ผ่านบทความของนักวิชาการด้านโบราณคดีที่รวมสรรพกำลังทางวิชาความรู้มาร่วมกันวิเคราะห์ตีความวัตถุล้ำค่ามากมาย โดยมีการพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2502 หรือเกือบ 60 ปีมาแล้ว ซึ่ง “มติชน” จะทยอยทำเสนอเป็นตอนๆ ดังเนื้อหาต่อไปนี้ (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCN1214c1.jpg) ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี (ภาพจากเว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร องค์การมหาชน) เครื่องประดับเศียร (บทความโดย นายชิน อยู่ดี หัวหน้าแผนกวิชาการ กองโบราณคดี) ในบรรดาเครื่องทองที่คนร้ายลักขุดได้ที่กรุในองค์พระปรางค์วัดราชบูรณะ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีสิ่งที่น่าสนใจ 2 ชิ้น คือ 1.เครื่องทอง ที่มีบางท่านเรียกว่า จุลมงกุฎ ทรงน้ำเต้า 2.เครื่องทอง ที่เรียกว่า มาลาทองคำ ใช้เส้นทองถัก สำหรับชิ้นที่ 1 เป็นอะไรกันแน่ ได้ตรวจดูหลักฐานตามตัวหนังสือจากตำนานเครื่องต้นครั้งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏดังนี้ ans1 ans1 ans1 ans1 พระมหากษัตริย์ เครื่องสวมพระเศียร ในโอกาส 1.ทรงพระชฎาพระเกี้ยวเพชร ทับทิม มรกต มีสีตามฉลองพระองค์ เสด็จออกแขกเมือง 2.ทรงพระมาลา พระกลีบ 5 ยอดสะดุ้ง (ชฎามหากฐิน) เสด็จพระพุทธบาท (ชฎามหากฐิน) 3.ทรงพระชฎาสอดตามสีฉลองพระองค์ เสด็จไปพระราชทานเพลิงศพ วัดไชยวัฒนาราม 4.ทรงพระมาลาฝรั่งพระเส้าสเทินขนนกลอน ตั้งพยุหยาตราแต่ท่าเจ้าสนุกขึ้นไปจนพระพุทธบาท 5.ทรงพระชฎาขาวริมทองสอดตามสี (ชฎาพอก) เสด็จไปถึงปากป่าทุงบ้านใหม่ 6.ทรงพระมาลาเส้าสูงกุหล่าขนนกตั้ง เสด็จไปวัดพระศรีสรรเพชญ์และฉลองวัด 7.ทรงเครื่องพระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงมหาพิชัยราชรถและพระที่นั่งกิ่ง 8.ทรงพระมาลาลง (ยันต์) ราชะ (เป็น) ซับใน เครื่องพระราชพิชัยสงครามสำหรับขนช้าง 9.ทรงเครื่องทรงประพาสพระ (มาลา) เส้าสเทิน เสด็จออกไปลพบุรีแลสระแก้วและน้ำโจนแลล้อมเสือ แลขั้นห้างจับเสือ (ไม่ได้ระบุถึงมงกุฎทรงน้ำเต้าไว้ เข้าใจว่าตำนานเครื่องต้นนี้คงจะบันทึกในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง หรือแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังที่มีมงกุฎแบบทรงน้ำเต้า เพราะวัดไชยวัฒนารามเพิ่งจะสร้างในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง) (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCF6829-768x512.jpg) เครื่องทองวัดราชบูรณะ พระมหาอุปราช ทรงเครื่องทุกอย่าง (หรือบางอย่างไม่กล่าวชัด) เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน แต่มิให้ต้องสีเครื่องต้นและฉลองพระองค์ ลดพระสุวรรณมาลัย (ดอกไม้ที่เสียบข้างพระชฎา ซึ่งทุกวันนี้เรียกใบสนว่าพระยี่ก่า) เจ้าฟ้าเทียบพระมหาอุปราช ทรงพระชฎากาบต่ำ (ชฎาพอกมีกาบเป็นลายรักร้อยเรียวแหลม ประกับยอดขึ้นไป 4 ทิศ อันนี้บังคับให้ของเจ้าฟ้าสั้นกว่าของพระมหาอุปราช) :25: :25: :25: :25: เจ้าฟ้า อย่างที่ 1 ทรงเกี้ยวพระอุไรดอกไม้ทิศ อย่างที่ 2 พระชฎาตามสีฉลองพระองค์ หลักฐานที่เป็นสิ่งของ ได้แก่ กาบพระเต้าทองคำยอดพรหมพักตร์ ซึ่งอยู่ในกรุเดียวกันนี้ มีกาบมีลายฉลุเป็นรูปประทับนั่ง ที่พระเศียรทรงพระชฎาหรือมงกุฎยอดทรงน้ำเต้าแบบเดียวกับเครื่องประดับเศียรชิ้นที่ 1 หลักฐานปัจจุบันก็ได้แก่มงกุฎหัวโขน ที่เรียกกันว่า มงกุฎยอดน้ำเต้า และมงกุฎยอดน้ำเต้าเฟือง ลดชั้นลงมาใช้กับเจ้านาย เช่น พิเภกผู้เป็นน้องกษัตริย์เมืองลงกา พิจารณาประกอบกับสิ่งอื่นที่พบในกรุเดียวกัน คือ เครื่องราชกกุธภัณฑ์จำลองและพระแสงดาบ ชวนให้สันนิษฐานว่า เครื่องประดับเศียรทรงน้ำเต้าคงจะเป็นส่วนบนของมงกุฎ ส่วนล่างอาจจะหายโดยคนร้ายลักเอาไปซ่อนไว้ที่อื่น เพราะรูปที่ฉลุบนกาบของพระเต้าทองคำยอดพรหมพักตร์ มีมงกุฎครบทั้งส่วนบน (ทรงน้ำเต้า) และส่วนล่าง มงกุฎนี้ควรจะเป็นของมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง เพราะถ้าเป็นเครื่องของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้าญี่พระยาควรจะมี 2 ชุด ที่มาของยอดมงกุฎทรงน้ำเต้า ก็คือ เดิมชายไทยไว้ผมสูงและโพกผ้า พยานหลักฐานที่เป็นรูปสัมฤทธิ์ ได้แก่รูปสมัยอยุธยา เลขที่ อย.41 ขณะนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่พระเศียรของรูปดังกล่าวจะเห็นผมสูงมีรอยแถบผ้ารัดหรือผูกโดยรอบคล้ายผมจุก อีกรูปหนึ่งเป็นรูปสมัยอยุธยาเลขที่ อย.54 ขณะนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ยอดพระเศียรผ้ารัดรอบผมสูง แปลงรูปไปเป็นผ้าแถบพันหลายชั้นเริ่มจะมีเค้าเป็นรูปทรงน้ำเต้า และมีกระบังหน้า ส่วนล่างรอบส่วนหลังของพระเศียรทำเป็นลวดลายคล้ายลายถัก ans1 ans1 ans1 ans1 การวิวัฒนาการของมงกุฎทรงน้ำเต้า คงจะเป็นดังนี้ คั่นที่ 1 เดิมไว้ผมสูงและโพกผ้า คั่นที่ 2 ต่อมามีผ้าแถบหรือเชือกผูกรัดผมสูง เช่นเดียวกับผูกผมจุกเด็ก คั่นที่ 3 ประดิษฐ์เครื่องครอบยอดผมสูงมีลักษณะโปร่งด้วยทองหรือเงินแล้วแต่ฐานะ มีรูปทรงน้ำเต้า คั่นที่ 4 มีกรอบหน้า ผ้าโพกเปลี่ยนเป็นส่วนล่างของมงกุฎทำเป็นลวดลายคล้ายลายถักและมีกรรเจียกจอน คั่นที่ 5 เมื่อตัดผมสั้น เป็นแบบที่เรียกว่าทรงมหาดไทย ยอดผมสูงหายไป รูปทรงน้ำเต้า ก็ไม่มีความหมายเพราะไม่มีผมสูงแล้ว ยอดมงกุฎก็เปลี่ยนไปเป็นยอดแหลม มงกุฎทรงน้ำเต้าเดิมเป็นเครื่องทรงพระมหากษัตริย์ก็ลดศักดิ์ลงมาเป็นเครื่องทรงของเจ้านาย เช่น พิเภก คนรุ่นหลังลืมเลือนไม่ทราบว่าบริเวณที่เป็นทรงน้ำเต้านั้นเคยเป็นผม เมื่อทำมงกุฎทรงน้ำเต้าสำหรับเป็นหัวโขนก็ทาสีดำไว้ตรงที่เคยเป็นผมสูง (โปรดติดตามตอนต่อไป) (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCF6828-768x512.jpg) ห้องจัดแสดงเครื่องทองจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCF6626-768x512.jpg) วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2016/04/DSCF6668-768x512.jpg) ทางลงกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะซึ่งกรมศิลปากรขุดอุโมงค์ทำบันไดขึ้นใหม่ ที่มาข้อมูล : หนังสือ จิตรกรรมและศิลปวัตถุ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหนังสือ พระพุทธรูปและพระพิมพ์ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิมพ์เผยแพร่ครั้งที่ 2 โดยกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ.2558 ขอขอบคุณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอบคุณบทความและภาพจาก http://www.matichon.co.th/news/95955 (http://www.matichon.co.th/news/95955) |