|
หัวข้อ: “วิตกจริต” แค่เครียด หรือโรคจิต.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 12, 2016, 08:18:19 am (http://p4.isanook.com/he/0/ud/1/5361/thumb_panic.jpg) “วิตกจริต” แค่เครียด หรือโรคจิต.? การวิตกกังวลนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกเพศทุกวัย แต่หากว่ามันมีอาการมากไป มันก็จะเป็นการนำไปสู่การเป็นโรคทางจิต หรือสามารถส่งผลเสียให้กับสุขภาพกายร่วมด้วย เพื่อเป็นการปกป้องเราจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรคนี้กันก่อนค่ะ :91: :91: :91: :91: โรคแพนิค คืออะไร โรคแพนิค (Panic Disorder) เป็นความกลัวหรือความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นอย่างทันที เป็นลักษณะสำคัญของโรคทางจิตเวช โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวล (Anxiety) ชนิดหนึ่ง อาการของโรคแพนิค ผู้ป่วยจะมีอาการควบคุมตัวเองไม่ได้ อาการคล้ายจะเป็นลม หน้ามืด เวียนหัว คลื่นใส้ แขนขารู้สึกเปลี้ย ไม่มีแรง มีอาการใจสั่นร่วมด้วย รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมีการเปลี่ยนแปลง มวลท้อง หายใจผิดปกติ จิตตก และรู้สึกร่างกายร้อนวูบวาบ กลัวตัวเองเป็นโรคร้ายแรง หรือกำลังจะตาย อาการต่างๆมักเกิดขึ้นทันที ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนประมาณ 10 นาที แล้วค่อยๆทุเลาลง อาการมักจะหายหรือเกือบหายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากอาการแพนิคหายผู้ป่วยมักจะเพลีย อ่อนแรง :41: :41: :41: :41: สาเหตุของโรคแพนิค - ฮอร์โมนลดกะทันหัน ทำให้สารสื่อในสมองผิดปกติ คล้ายกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลให้ประสาททำงานผิดพลาด จนทำให้สมองหลั่งสารตื่นตระหนกออกมาเอง - เกิดจากสารบางอย่างที่เข้าไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคแพนิคเกิดอาการแพนิคได้มากกว่าคนทั่วไป - กรรมพันธุ์ - มีความเครียดสะสมมากเกินไป ใช้ชีวิตแบบผิดๆ - มีปัญหาทางด้านจิตใจ เคยถูกทำร้ายทางด้านจิตใจมาก่อน หวาดระแวง ตกใจง่าย ไม่ค่อยปล่อยวาง มีปมด้อย - มีเรื่องปัญหาครอบครัว :32: :32: :32: วิธีป้องกัน และรักษาโรคแพนิค แน่นอนว่าโรคนี้มาพร้อมกับความเครียด เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ ไม่เครียด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตัวเองเกิดความเครียดหรือความวิตกกังวล ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ไม่ให้ตึงจนเกิดไป นั่งสมาธิ ปล่อยวางจิตใจ ดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมที่ทำร่วมกับคนอื่น เพื่อเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน คนใกล้ตัวและคนในครอบครัว สิ่งที่ป้องกันโรคนี้ได้ดีที่สุดคือ การหัวเราะ ที่ทั้งเป็นการป้องกันโรคนี้ และป้องกันโรคอื่นๆได้อีกด้วย :49: :49: :49: เมื่อไม่แน่ใจว่ากำลังมีอาการของโรคแพนิคหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย และสมองอย่างละเอียด จากนั้นแพทย์อาจให้การรักษาอย่างใกล้ชิด และให้ยา ในกรณีที่ได้รับการรักษาด้วยยา ยาจะช่วยให้เราปรับสมดุลสารเคมีในสมองได้เร็วขึ้น การทานยาช่วยในการรักษาได้ 70 ถึง 80 เปอร์เซนต์ ภายหลังเริ่มการรักษาแล้ว 6-8 สัปดาห์ เมื่ออาการดีขึ้นแล้วแพทย์ยังคงให้การรักษาต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อป้องกันการกำเริบของอาการ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรหยุดยาทันที เพราะอาจเกิดอาการดื้อยา หรืออาการอาจกำเริบได้ แม้ว่าโรคแพนิคจะเป็นโรคที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย แต่มันก็สามารถทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียน หรือปัญหาด้านอื่นๆ เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราต้องเริ่มป้องกันและเริ่มหันมาใส่ใจตัวเองให้มากยิ่งขึ้น เพราะทุกอย่างเริ่มจากตัวเราเอง ขอบคุณข้อมูลจาก BangkokHealth ภาพประกอบจาก istockphoto Story : แพรวา คงฟัก http://health.sanook.com/5361/ (http://health.sanook.com/5361/) |