สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 08, 2016, 07:18:44 am



หัวข้อ: ดิฉันปฏิบัติธรรม จนไม่อยากวุ่นวายทางโลก ทำอย่างไรดี.?
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 08, 2016, 07:18:44 am

(http://www.goodlifeupdate.com/wp-content/uploads/2016/12/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-696x365.jpg)


ดิฉันปฏิบัติธรรม จนไม่อยากวุ่นวายทางโลก ทำอย่างไรดี.?

ดิฉันปฏิบัติธรรม แล้วรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป ไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องทางโลก แต่ดิฉันก็มีครอบครัวและลูก ที่ยังต้องเลี้ยงดู ภาระงานบ้าน และหนี้สินที่มีอยู่มากมาย ทำให้ดิฉันไม่มีความรู้สึกทางเพศกับสามีเลย ถือเป็นความผิดของดิฉันไหมคะ แต่เรื่องงานบ้านและลูกดิฉันมั่นใจว่าดูแลได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ดิฉันเพิ่งอายุ 41 ปี พอพูดกับสามีเขาก็กระแนะกระแหนว่าดิฉันคงจะบรรลุธรรมแล้ว รักน่ะยังรักอยู่ แต่ดิฉันอยากให้สามีเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงนี้

ทุกคืนดิฉันได้แต่สวดมนต์ภาวนา ให้สามีพบหนทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หนุนนำการทำงานของเขาอยู่เสมอ โปรดให้คำแนะนำดิฉันด้วยค่ะว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ท่าน ว.วชิรเมธี ตอบปัญหานี้ไว้ว่า

 ask1 ans1 ask1 ans1

ปัญหาของคุณคือ
    “ดิฉันก็มีครอบครัวและลูกที่ยังต้องเลี้ยงดู”
    “ภาระงานบ้านและหนี้สินมากมายที่มีอยู่”
    “…ดิฉันไม่มีความรู้สึกทางเพศกับสามีเลย”
    “ดิฉันอยากให้สามีเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงนี้”

ข้อ 1 และ 2 ถือเป็นปัญหาพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนอะไร ใคร ๆ เขาก็มีปัญหานี้กัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ทางแก้ก็ไม่พิสดารมากนัก คือใช้ปัญญาสามัญอย่างปุถุชนทั่วไปแก้ไขได้ ขอแต่เพียงไม่ท้อ ไม่เลิกสู้วันหนึ่งก็อาจจะผ่านไปได้

แต่ปัญหาที่ว่า “ดิฉันไม่มีความรู้สึกทางเพศเลย” นี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ปัญหานี้น่าจะมาจากสองสาเหตุ

     @@@@@@

     หนึ่ง คือ การมีภาระหนี้สินมากมาย ทำให้เครียดและคิดมาก จนส่งผลให้ไม่มีความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศลดลง ถ้าสาเหตุมาจากเรื่องนี้ ลองถอนตัวออกมาจากปัญหาหนี้สิน เปลี่ยนสถานที่พักผ่อน ความรู้สึกทางกามารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนก็อาจหวนคืนมาอีก – – นี่เป็นเรื่องธรรมดา

     สอง หากความรู้สึกทางเพศลดลงจนกลายเป็นความเฉยเมยต่อเพศสัมพันธ์ และเกิดการปล่อยวางมากขึ้น จนเห็นเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นส่วนเกินของชีวิตไป มีความรู้สึก “จืดจางห่างเหิน” ต่อเพศสัมพันธ์ นี่อาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลโดยตรงของการปฏิบัติธรรม

     ประการหนึ่ง : อาจเป็นเพราะจิตเสพคุ้นกับ “สมาธิสุข” คือ สุขจากสมาธิ ซึ่งประณีตกว่าโลกิยสุข ทำให้จิตถอนตัวจากสุขแบบโลกีย์หรือกามารมณ์ โดยอัตโนมัติ ในกรณีเช่นนี้ หากเลิก หรือ ถอนตัวจากสมาธิกามารมณ์ หรือความต้องการทางเพศสัมพันธ์ก็อาจกลับมาได้อีก

     ประการหนึ่ง : เป็นเพราะจิตอยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” ด้วยอานิสงส์ของ “สัมมาสติ” คือการตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ไม่มีการ “ปรุงแต่ง” ในเชิงกามารมณ์
     พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า “กาม” หรือความปรารถนาทางเพศนั้น เกิดจาก “ความคิด” มากกว่าความต้องการทางกาย ดังนั้นถ้าเราตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่ตกเป็นทาสของความคิด คือไม่คิดถึงกามารมณ์เลย ความรู้สึกถวิลหากามก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าถอนตนออกมา จากการตื่นรู้อยู่ในปัจจุบันขณะ (คือเลิกตามดูอารมณ์ปัจจุบันปล่อยจิตไหลไปตามความคิดปกติ)  กามารมณ์ก็อาจกลับมาได้อีก

     ประการหนึ่ง : เป็นเพราะจิตพัฒนามาถึงขึ้นอนาคามิผล ซึ่งเป็นสภาวะจิตของคนที่บรรลุมรรคผล ระดับอนาคามี (อีกขั้นเดียวก็เป็นพระอรหันต์) ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว จิตจะสำรอกกามารมณ์ทิ้งอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกต่อกามารมณ์จะเหลือเพียงความว่างเปล่า เหมือนคนมาพบ  “รสจืดของความจริง” หลังจากนั้น จิตจะเย็นชาต่อการปรุงแต่งทุกรูปแบบ จิตของพระอนาคามีนั้นอยู่เหนือกาม ถึงขั้นสามารถทิ้งกามได้อย่างไม่ไยดี เหมือนคนถ่มน้ำลายจากปาก แล้วไม่นึกเสียดายอีกเลย

 st11 st11 st11 st11

ในกรณีของคุณนั้น ไม่แน่ใจว่าจิตเกิดจากสภาวะใด ที่บอกว่าไม่แน่ใจ เพราะผลของการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่อง“ปัจจัตตัง” คือรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ คุณคงต้องถามตัวเองพร้อมทั้งสังเกตตัวเองไปด้วยว่า ที่จิตถอนจากกามารมณ์นั้นเป็นเพราะสาเหตุใด

ความเครียด  (ทุกข์มากเกินไปจนไม่สนใจกามารมณ์)
สมาธิสุข     (พบสุขขั้นประณีต จิตจึงวางโลกิยสุข)
สัมมาสติ     (จิตตื่น จึงไม่ปรุงแต่งถึงกามารมณ์อีก)
อนาคามิผล  (จิตพ้นไปจากกามารมณ์)

ถ้าเป็นเพราะสาเหตุที่ 1–3 นั้น สักวันหนึ่งกามารมณ์จะกลับมาได้อีก แต่ถ้าเป็นเพราะสาเหตุที่ 4 นั้น คุณจะไม่กลับมาหากามารมณ์อีก (อนาคามี = ผู้ไม่กลับมาหากามสุข, กามารมณ์) แล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องชี้แจงสามีไปตามความจริง ทางของคุณจะไม่ใช่ทางของชีวิตคู่อีกแล้ว แต่จะเป็นทางของนักบวช คือถึงไม่บวชเป็นสมณะ คุณก็จะครองตนแบบนักบวชอยู่ในครอบครัว คือกายอยู่ในบ้าน แต่จิตอยู่ในวัด คือไม่ผูกพันชีวิตตัวเองไว้กับความสุขแบบชาวบ้านอีกแล้ว

ในชั้นนี้เมื่อเรายังไม่สามารถฟันธงได้ว่า สภาวะจิตหน่ายกามของคุณ  เป็นเพราะสาเหตุใดแน่ ทางที่ดี คุณก็ควรจะสื่อสารกับสามีให้มากขึ้น  เพื่อร่วมกันรับผิดชอบปัญหาเฉพาะหน้า ให้ผ่านไปอย่างดีที่สุดไม่ใช่คุณมุ่งไปสู่ความสุขเพียงคนเดียว แล้วปล่อยให้สามีแบกภาระอยู่ฝ่ายเดียว

ชีวิตคู่นั้นคือ “สัญญาประชาคม” ที่คนสองคนให้ต่อกันและกัน ดังนั้นไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ต้องร่วมกันแก้ไขอย่างดีที่สุด


พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี: พระอาจารย์ผู้ไขปัญหาธรรม
http://www.goodlifeupdate.com/41836/healthy-mind/dhammadaily-20161223/ (http://www.goodlifeupdate.com/41836/healthy-mind/dhammadaily-20161223/)