หัวข้อ: ตายแล้ว (เอาตัว) ไปไหน (ดี) เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ การบริจาคร่างกาย เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 16, 2016, 09:52:28 am (http://www.goodlifeupdate.com/wp-content/uploads/2016/06/die-696x365.jpg) การบริจาคร่างกาย ต้องทำอย่างไร.?…เรามีคำตอบ เชื่อหรือไม่ว่า…เมื่อเราต้องจากโลกนี้ไปร่างกายของเรายังสามารถทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้อีกมากมายทีเดียว โดยเฉพาะ การบริจาคร่างกาย การบริจาคร่างกายมีประโยชน์อย่างยิ่งในทางการแพทย์ เพราะร่างของเราจะถูกนำไปให้นักศึกษาแพทย์การศึกษากายวิภาคศาสตร์ และให้แพทย์เฉพาะทางได้ฝึกหัตถการ ผ่าตัด ศึกษาเกี่ยวกับโครงกระดูกและเนื้อเยื่อเพื่อใช้ในการรักษาผู้อื่นต่อไปในอนาคต ans1 ans1 ans1 ans1 แบบที่ 1 : บริจาคเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา สมัครเป็น “อาจารย์ใหญ่” ต้องเตรียมอะไรบ้าง -สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ - รูปถ่ายหนึ่งนิ้ว หน้าตรง ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน - ตัวและหัวใจในการเดินทางไปสมัครบริจาคร่างกายตามสถานที่ที่ประกาศรับบริจาค อาทิเช่น สภากาชาดไทย โรงพยาบาลของรัฐที่มีหน่วยงานรับบริจาคเป็นต้น - แบบฟอร์มการบริจาคซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.md.chula.ac.th หรือ www.redcross.or.th สิ่งที่ควรรู้…ก่อนเป็น “อาจารย์ใหญ่” - ผู้ที่ต้องการบริจาคร่างกายต้องมีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป เมื่อตกลงใจบริจาคแล้ว ควรแจ้งให้คนรอบตัวทราบด้วย - หลังจากผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรมทายาทผู้รับมรดก (พ่อแม่ ลูก ญาติ) มีสิทธิ์คัดค้านการมอบศพให้กับโรงพยาบาลได้โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย - หลังจากผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรมและทายาทผู้รับมรดกยินยอมมอบร่างให้แก่ผู้รับบริจาคแล้ว ญาติควรโทร.แจ้งหน่วยงานตามบัตรบริจาคร่างกายที่ผู้ป่วยแสดงความจำนงไว้ภายใน 24 ชั่วโมง - เมื่อไปรับร่างของผู้บริจาค เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะต้องแสดงบัตรประจำตัวพร้อมมอบเอกสารหนังสือสำคัญการมอบศพให้ญาติกรอกรายละเอียดและลงนามไว้เป็นหลักฐาน เมื่อโรงพยาบาลรับร่างมาแล้ว ร่างผู้อุทิศร่างกายนั้นถือเป็นมรดกที่มอบไว้ให้กับโรงพยาบาล - แพทย์จะใช้เวลาในการศึกษาร่างกายเป็นระยะเวลาทั้งหมด 2 ปีหลังจากนั้นทางโรงพยาบาลจะจัดให้มีพิธีบำเพ็ญกุศลอาจารย์ใหญ่ให้แก่ผู้ล่วงลับ หลักฐานสำหรับบริจาคร่างกาย 1. สำเนาใบมรณบัตร จำนวน 3 ฉบับ 2. สำเนาบัตรประชาชนของทายาทผู้มอบร่างผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา จำนวน 1 ฉบับ เป็นอาจารย์ใหญ่…ก็มีข้อจำกัดเหมือนกันนะ! โรงพยาบาลต่างๆ ไม่สามารถรับศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาได้หาก… - ผู้อุทิศร่างถึงแก่กรรมเกิน 20 ชั่วโมงยกเว้นได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาลแล้ว - ผู้อุทิศร่างเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่และสูญเสียอวัยวะสำคัญ ๆ หรือมีร่างกายที่ไม่เหมาะจะใช้ศึกษาได้ เช่น แขนขาคดงอจนเสียรูปร่าง - ผู้อุทิศร่างมีสาเหตุการตายจากโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง หรือติดเชื้อโรคร้ายแรง เช่น เอดส์ ไวรัสลงตับ และวัณโรค หรือมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการผ่าพิสูจน์ - ผู้อุทิศร่างมีน้ำหนักมากเกินกว่า 80 กิโลกรัม หรือผอมมากจนไม่มีกล้ามเนื้อ อยากทำบุญเชิญทางนี้! หากต้องการทำบุญเพื่อพัฒนาอาจารย์ใหญ่ สามารถบริจาคเงินสมทบเข้ากองทุนสภากาชาดไทยเพื่อการบริจาค ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาสภากาชาดไทย เลขที่บัญชี0452-88000-6 ชื่อบัญชี “เงินฝากเพื่อพัฒนาอาจารย์ใหญ่เพื่อการศึกษาด้านการแพทย์” ได้ตามศรัทธา :25: :25: :25: :25: แบบที่ 2 : บริจาคร่างกายเพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด มีเงื่อนไขน้อยกว่าแบบแรก คือ 1. ไม่เคยผ่าตัดบริเวณข้อต่างๆ 2. เมื่อเสียชีวิตญาติต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ภาควิชาฯ ให้มารับศพทันที 3. ให้ญาติตัดผมและเล็บของผู้เสียชีวิตใส่โลง เพื่อสวดทำบุญ 4. ไม่ฉีดยารักษาศพ st12 st12 st12 st12 แบบที่ 3 : บริจาคร่างกายเพื่อเก็บโครงกระดูกใช้ในการศึกษา 1. ขณะเสียชีวิตต้องมีอายุไม่เกิน 55 ปี 2. ญาติสามารถนำอวัยวะบางส่วนของศพดอง ไปทำพิธีทางศาสนาได้ 3. ไม่ฉีดยารักษาศพเพราะจะทำให้ไม่สามารถเก็บโครงกระดูกของศพได้ ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.goodlifeupdate.com/11311/healthy-mind/bodydonation/ (http://www.goodlifeupdate.com/11311/healthy-mind/bodydonation/) http://www.goodlifeupdate.com/11311/healthy-mind/bodydonation/2/ (http://www.goodlifeupdate.com/11311/healthy-mind/bodydonation/2/) หัวข้อ: Re: ตายแล้ว (เอาตัว) ไปไหน (ดี) เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ การบริจาคร่างกาย เริ่มหัวข้อโดย: intro ที่ ธันวาคม 17, 2016, 03:59:00 pm การบริจาคร่างกาย นั้น ผมเคยฟังในรายการ ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า
หากสังขาร ร่างกายของเรานั้น ยังไม่ผุกร่อน หรือ ถูกเผาทำลาย ธาตุทีเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ทั้ง 4 ยังไม่แยก จิตของผู้ที่ตายไปแล้ว จะกำเนิดใหม่ไม่ได้ เพราะว่า ธาตุทั้งสี่มีใจครองแล้วนั้นเป็นธาตุ เฉพาะบุคคล และ จะเปลี่ยนไปตามสภาวะจิต ของผู้ภาวนา จนถึง วิสุทธิธาตุ ดังนั้น พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอนให้ สละอวัยวะ ในขณะที่ ตายแล้ว แต่สอนให้สละ อวัวยะ ในขณะที่มีชีวิต หรือ สอนให้สละชีวิต ในขณะที่ต้องรักษาธรรม :49: |