หัวข้อ: พระพุทธรูปยิ้มได้ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2017, 02:47:46 pm (http://www.thairath.co.th/media/NjpUs24nCQKx5e1HT3DF6QuhQEWLMWUNpqh282WkmPX.jpg) พระพุทธรูปยิ้มได้ โดย เผ่าทอง ทองเจือ ใครเคยเห็นพระพุทธรูปยิ้มได้บ้างครับ คิดว่าคงแทบจะไม่มีเลยนะครับ ถึงจะมีก็คงมีน้อยมากเหลือเกิน เพราะแสนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ยิ่งในยุคสมัยไอทีแบบนี้เเล้ว พูดไปก็เหมือนเล่านิทานหลอกเด็ก แต่ใครจะเชื่อบ้างหรือไม่ครับว่ารัชกาลที่ 5 หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านเคยทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปยิ้มได้มาแล้ว และไม่ใช่เห็นหนเดียวด้วยนะครับ แต่เห็นหลายครั้งหลายหนด้วย จนถึงกับมีพระราชกระแสรับสั่งเอาไว้เป็นหลักฐานเลยทีเดียว เรื่องมีอยู่ว่ารัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่วัดระฆังโฆสิตารามหลายครั้ง ในรัชกาลของพระองค์ และได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ดูแลเป็นพระธุระเอาพระทัยใส่ในวัดนี้เสมอมา ด้วยเป็นวัดที่เก่าแก่ มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ราว พ.ศ.2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ได้ทรงบูรณะขึ้นใหม่ทั้งหมด และยกเป็นวัดหลวง จากนั้นจึงได้ถวายให้เป็นวัดที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชสี ซึ่งถือว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของกรุงธนบุรี ทั้งยังเคยทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ของทั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมาก่อนแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นใหม่เนื่องจากเมื่อครั้งกรุงแตกนั้นตำรับตำรา พระไตรปิฎกต่างๆ กระจัดกระจายหายสูญไปหมดสิ้น :96: :96: :96: :96: ในครั้งต้นแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ก็ได้ทรงยกบ้านของตนเอง อันประกอบด้วยเรือนนอนและหอนั่ง รื้อออกไปปลูกถวายเป็นพุทธบูชาแก่วัดนี้ ซึ่งในครั้งกระนั้นยังเรียกนามตามเดิมว่า วัดบางหว้าใหญ่ ครั้นเมื่อขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ สถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรีและกรุงรัตนโกสินทร์ในปีพ.ศ.2325 แล้ว ก็ได้เอาพระทัยใส่ทอดพระเนตรดูแล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บูรณปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ โปรดฯให้ย้ายเรือนที่รื้อไปปลูกถวายเป็นพุทธบูชา มาปลูกเป็นหอพระไตรปิฎกกลางสระน้ำที่ทรงโปรดฯให้ขุดขึ้นใหม่ จากนั้นก็ได้ทรงบูรณะหรืออาจเรียกว่าสร้างใหม่เลยก็ได้สำหรับพระอุโบสถ ได้ทรงบูรณะพระพุทธรูปประธานอันเป็นของโบราณดั้งเดิมด้วย และทรงโปรดปรานพระพุทธรูปองค์นี้มาก จนถึงกับทรงมีพระบรมราชโองการไว้ว่า หากเสด็จสวรรคตและถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ขอให้อัญเชิญนพปฎลมหาเศวตฉัตรที่กางกั้นเหนือยอดพระเมรุมาศกลางท้องสนามหลวงมากางกั้นถวายเหนือพระเศียรของพระพุทธรูปประธานองค์นี้ด้วย :25: :25: :25: :25: อาศัยเหตุดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยให้พระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล ทรงทำนุบำรุงพระอารามแห่งนี้อย่างต่อเนื่องเสมอมา และในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าในพระอุโบสถแล้ว ก็ได้ทรงหันไปมีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า "......ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์มาทีไร พระประธานก็ยิ้มรับฟ้าทุกที...." ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ และพระประธานองค์นี้ก็ได้นามว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า"ตั้งแต่นั้นมา ถือได้ว่าพระพุทธรูปประธานองค์นี้เป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวของประเทศไทยที่ได้รับถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถึง 2 ตระกูลด้วยกัน นี่คือที่มาของพระพุทธรูปยิ้มได้ตามที่จั่วหัวเรื่องเอาไว้ครับ ขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก http://www.thairath.co.th/content/360914#cxrecs_s (http://www.thairath.co.th/content/360914#cxrecs_s) หัวข้อ: Re: พระพุทธรูปยิ้มได้ เริ่มหัวข้อโดย: rainmain ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2017, 10:09:27 pm st11 st12 st12
|