หัวข้อ: “พลังรัก” พลังแห่งความสุขสงบเย็น เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ เมษายน 10, 2017, 09:47:23 am ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : “พลังรัก” พลังแห่งความสุขสงบเย็น มีคำกล่าวว่า “บ้านใดมีจิตตภาวนา มีเมตตา เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ได้มาอาศัย ย่อมเกิดความร่มเย็นเป็นสุข จะมีเทพเทวดามาอยู่ ป้องกันภัย ให้ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่เร่าร้อนจิตใจ ถึงแม้บ้านเรือนนั้นจะมุงด้วยหลังคาแฝกก็ตาม ก็จะมีแต่ความสุข หามีความเดือนร้อนไม่...” ความสุข สงบ เย็น ไม่อาจไปถึงได้ด้วยคำตัดสินถูกผิดแต่ไปถึงได้ด้วยพลังแห่งรักอันไร้เงื่อนไข ภาษาธรรมะเรียกว่า“เมตตา”บ้านเรือนใดครอบครัวใด คอยตั้งแง่จ้องแต่จะจับผิดกันรับรองได้ว่า บ้านนั้นครอบครัวนั้น อยู่กันไม่ยืดปราศจากความสุขเพราะแท้จริงแล้ว ภาวะความสุขสงบเย็นนั้นมีแต่ความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น ที่นำเราทะยานไปสู่จุดนั้นได้ :96: :96: :96: :96: เหตุที่โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อนสับสนวุ่นวายเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ก็เพราะมนุษย์ขาดความรักความเมตตาต่อกัน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อความถูกต้อง แต่เรามาที่นี่เพื่อความสุขสงบสันติ หรือที่พระพุทธองค์เรียกว่า “นิพพาน” และเมื่อใดที่หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตามันจะเอ่อล้นออกมาเป็นการให้อภัย ปล่อยวาง อโหสิกรรม แม้ว่าผู้นั้นจะคิดร้ายต่อเราด้วยพลังงานลบอย่างไรก็ตาม แต่พลังงานลบเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายเราได้ เหมือนผู้ก่อการร้ายที่เอาระเบิดไปขว้างใส่พระพุทธรูป แต่ปรากฏว่าระเบิดด้าน เหมือนของขวัญที่ถูกตีกลับส่งคืนเจ้าของ เพราะปลายทางไม่มีผู้รับ หรือเหมือนการตบมือข้างเดียว ซึ่งตบอย่างไรก็ไม่ดัง แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ในส่วนลึกของจิตใจเรามันต้องเอ่อล้นเต็มไปด้วยความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นแล้ว เช่นเดียวกันหากภายในตัวเราปราศจากความรักความเมตตา เราก็จะไม่สามารถส่งมอบความรักความเมตตาออกมาให้กับใครได้ เพราะความรักความเมตตามันไม่ได้มีอยู่ภายในตัวเรา หรือมีแต่ก็น้อยเกินไป ดังนั้น หลายครั้งที่บางคนบ่นว่า แผ่เมตตาก็แล้ว ให้ความรักก็แล้ว แต่ทำไมยังโดนหมากัด แมวข่วน คนข้างบ้านรุมประณาม อะไรอีกสารพัด นั่นก็เพราะว่าภายในตัวยังไม่มีความรักความเมตตาเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงอยู่ในจิตใจ :25: :25: :25: :25: สมัยที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำแห่งวัดท่าซุงยังมีชีวิตอยู่ เคยมีพระบวชใหม่เข้าไปถามท่านว่า “เวลาเข้าป่าไปเจอเสือโคร่งแล้วแผ่เมตตาให้เสือจะกินไหม?” หลวงพ่อตอบว่า “ถ้ามีเมตตาแล้วคุณแผ่เมตตาให้ เสือออกไปเสือไม่กิน แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณไม่มีเมตตา แล้วไปแผ่ให้ เสือกินคุณทันที เพราะมันไม่ได้รับเมตตา” เมตตา คือ พลังรัก เป็นพลังความรักที่บริสุทธิ์อยู่เหนือเงื่อนไขข้อจำกัดทางด้านเนื้อหนัง เป็นความรัก ความปรารถนาที่จะให้คนอื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข มันจะเกิดขึ้นได้ด้วยการให้อภัยเป็นทาน สังเกตได้จากเครื่องชี้วัด คนที่มีเมตตาอยู่ในตัวมากๆ สัตว์เดรัจฉานมักจะเข้าใกล้ เทวดาและมนุษย์จะชอบอยู่ใกล้ ใครๆก็อยากไปหา ลองนึกถึงพระป่าบางรูปผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แค่เข้าไปอยู่ใกล้ท่าน ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรด้วยเลยเราก็จะรู้สึกได้ถึงความสุขสงบเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวท่านพระที่มีคุณธรรมแบบนี้เรารู้กันดีว่า “เมตตาท่านสูง” st12 st12 st12 st12 ในต้นพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดถึงแก่มรณภาพเพื่อนภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า “นั่นเป็นเพราะภิกษุรูปนั้นคงมิได้แผ่เมตตาจิตให้กับพญางูทั้ง๔ตระกูลถ้าภิกษุนั้นแผ่เมตตาจิตให้กับพญางูทั้งสี่ตระกูลนั้นเธอก็จะไม่ถูกงูกัดถึงแก่ความตาย” เราทุกคนสามารถเจริญเมตตาให้เกิดมีขึ้นในตัวเองได้ด้วยวิธีปล่อยวางอโหสิกรรม ไม่ผูกโกรธไม่จองเวร พร้อมที่จะให้อภัย ใครเขาทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ ใครเขาแกล้งให้เจ็บช้ำ เราก็ให้อภัยช่างมันเถอะๆอโหสิกรรมให้กัน ฝึกให้อภัย อโหสิกรรมแบบนี้ไปเรื่อยๆ สั่งสมมากเข้าๆ อีกหน่อยระดับพลังงานความรักความเมตตาในตัวเราจะเพิ่มสูงขึ้นโดยที่เราสามารุรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ถ้ามีเมตตาจริงต้องไม่โกรธไม่เบื่อหน่ายไม่หงุดหงิดใครทำได้เช่นนี้แสดงว่าในจิตวิญญาณนั้นมีเมตตาสั่งสมอยู่ถึงตรงนี้เมื่อเราแผ่เมตตาออกไป สรรพสัตว์ก็จะรับรู้ได้ และการแผ่เมตตาหรือจะอธิษฐานอะไรก็แล้วแต่ มันจะบังเกิดผลมีอานุภาพมาก st11 st11 st11 ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในชาตินั้นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นปลาช่อนอาศัยในบึงใหญ่ อยู่มาปีหนึ่งเกิดภาวะแห้งแล้งฝนไม่ตกทำให้น้ำในบึงแห้งขอด ปลาก็เลยมารวมกันในแอ่งเล็กๆ ที่ตื้นเขิน เป็นเหตุให้ถูกพวกนกกระยางนกกา นกชนิดอื่นๆจับกินได้อย่างง่ายดาย ปลาเล็กปลาน้อยไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยพากันไปหาปลาช่อนตัวใหญ่ที่อยู่ใต้โคลนไปบอกปลาช่อนให้ช่วยด้วยเถอะ ตอนนี้พวกเราถูกนกกาจับกินจะหมดแล้ว ปลาช่อนเกิดสงสารแต่ตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เห็นว่าเพื่อนปลาด้วยกันมาขอร้องให้ช่วยก็จะลองดู จึงโผล่จากดินโคลนขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านเทวดาผู้บันดาลฝนข้าพเจ้าแม้จะเกิดในตระกูลของสัตว์เดรัจฉาน จำเป็นต้องกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยเป็นอาหารแต่ข้าพเจ้านั้นมีเมตตาต่อพวกสัตว์เหล่านี้จึงงดเว้นไม่กิน จะกินก็แต่พวกพืชพวกสาหร่าย นี่คือสัจจะความจริงที่ข้าพเจ้าถือปฏิบัติขออ้างเอาสัจจะนี้อธิษฐาน ขอให้ท่านเทวดาจงบันดาลฟ้าร้องฝนตก แล้วทำให้พวกเรารอดพ้นจากการถูกพวกนกกาเบียดเบียนด้วยเถิด” เท่านั้นแหละเทวดาร้อนรนทนเฉยอยู่ไม่ได้ จึงบันดาลให้เกิดฟ้าร้องฝนตกใหญ่ลงมามากขึ้นๆ บึงใหญ่ก็เต็มไปด้วยน้ำ ปลาเล็กปลาน้อยก็รอดพ้นอันตรายจากนกกา ans1 ans1 ans1 ans1 จับคติเอาประโยชน์จากชาดกเรื่องนี้ “เพราะปลาช่อนมีเมตตา จึงสามารถอ้างเอาเมตตามาเป็นสัจจะในการอธิษฐาน แล้วก็อธิษฐานขอฝนได้สำเร็จ” หรือแม้แต่พระสุวรรณสามโพธิสัตว์ ชาดกในสิบชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าชาตินั้น พระสุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมีแม้จะโดนลูกศรอาบยาพิษยิงเสียบอก แต่ท่านก็ไม่โกรธคนยิง ในที่สุดด้วยอานุภาพแห่งเมตตาบารมี ก็ทำให้พระสุวรรณสามฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้งอย่างปลอดภัย เหตุนี้เองพระพุทธเจ้าจึงตรัสแนะนำให้เราทั้งหลายเจริญเมตตา แผ่เมตตา ให้กับสรรพสัตว์เป็นประจำ ทำบ่อยๆ สะสมเข้าไว้มากๆ เพราะเหล่าสรรพสัตว์จะรับรู้ได้ถึงความสุขสงบเย็นที่เราแผ่ออกไป จำไว้ว่า... “การทำผิดเป็นเรื่องของมนุษย์ การให้อภัยเป็นเรื่องของเทวดา โลกนี้ไม่มีใครไม่เคยทำผิด และก็ไม่มีใครชั่วเกินจะให้อภัย” จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 196 เมษายน 2560 โดย ทาสโพธิญาณ http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9600000033707 (http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9600000033707) หัวข้อ: Re: “พลังรัก” พลังแห่งความสุขสงบเย็น เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ เมษายน 10, 2017, 06:36:56 pm มีจิตผ่องใส มีใจเอื้อเฟื้อ เว้นจากความเบียดเบียน คือ ศรัทธา
ศรัทธา คือ ความเชื่อด้วยปัญญาอันทำไว้ในใจโดยแยบคายแล้ว รู้เห็นตามจริง น้อมไปในการปฏิบัติ มีศรัทธาพละ ก็ย่อมทำสัจจะได้ ความอิ่มใจ เย็นใจไม่เร่าร้อน เบาสบายสว่างไสวไม่มัวหมองย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น st12 st12 st12 |