หัวข้อ: น้ำทิพย์ในเศียรหลวงพ่อทองสุข รักษาโรคได้สุดอภินิหาร เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 21, 2018, 06:49:10 am (https://www.dailynews.co.th/admin/upload/20180618/news_jdtruEHftG154917_533.jpg?v=201806192212) น้ำทิพย์ในเศียรหลวงพ่อทองสุข รักษาโรคได้สุดอภินิหาร สัปดาห์นี้พาไปรู้จัก “น้ำทิพย์มนต์” ในเศียรของหลวงพ่อทองสุข วัดตูม จ.อยุธยา ที่สร้างความมหัศจรรย์ให้ชาวบ้านอย่างไม่น่าเชื่อ มีอะไรบ้างไปติดตามกัน อังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 เวลา 10.00 น. “น้ำ” นอกจากจากเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของการดำรงไว้ซึ่งชีวิตแล้วยังมีบทบาทสำคัญในการเกษตร เป็นเครื่องหมายแห่งการชำระล้าง การรักษา และเป็นความอุดมสมบูรณ์ “น้ำ” ยังมีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามคติความเชื่อของพราหมณ์และฮินดู ที่แสดงถึงการมีอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบในทางไสยเวท น้ำยังช่วยรักษาอาการเจ็บปวดหายได้ปลิดทิ้งราวปาฏิหาริย์ (https://www.dailynews.co.th/admin/upload/20180618/news_tCiBldAfgW153510_533.jpg?v=201806192212?v=2208) “วัดตูม” ตั้งอยู่ที่ริมถนนสายประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินทางมาจากตัวเมืองอยุธยา ขับรถผ่านถนนหน้าโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา สังเกตฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลจะมีร้านขายโรตีสายไหมตั้งอยู่หลายร้าน ขับตรงมาเรื่อยจนเจอทางแยกใหญ่ให้เลี้ยวซ้ายไปทางบางปะหัน จากนั้นขับตรงไปไม่ไกล วัดจะอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม ทั้งนี้ทั้งนั้นหมั่นสังเกตป้ายบอกทางด้วยก็ดี วัดนี้มีอายุน่าจะไม่ต่ำกว่าพันปี ครั้งอดีตเป็นวัดสำหรับลงเครื่องพิชัยสงคราม ความน่าสนใจของ “วัดตูม” อยู่ที่เรื่องเล่าถึง “หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ์ สภาพสมบูรณ์ ที่ภายในพระเศียรมีลักษณะเป็นบ่อกว้างลึกจนถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา เป็นน้ำใสเย็นที่ไม่เคยแห้ง ทั้งยังนำมาดื่มได้ (https://www.dailynews.co.th/admin/upload/20180618/news_ZMJdQRaPmw153509_533.jpg?v=201806192212?v=7067) ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์เช่นนี้มาเนิ่นนาน “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ยังทรงนำน้ำในพระเศียรหลวงพ่อทองสุขมาใช้ร่วมกับน้ำในบ่อพระพุทธมนต์ วัดพระพายหลวง บ่อพระร่วง เมืองเก่า สุโขทัย ในพิธีชุบพระแสงและเครื่องศาสตราวุธเพื่อออกรบ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินเมื่อ พ.ศ.2451 เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีชุบพระแสงขรรค์ราชศัตรา ประชาชนทั่วไปที่อยู่ในอยุธยา และที่อื่นๆ ให้ความนับถือและ เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของ “น้ำทิพย์มนต์ในเศียรของหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” ว่ามีอำนาจอภินิหารในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ รวมถึงเชื่อว่าเมื่อได้ดื่มหรืออาบน้ำทิพย์มนต์นี้จะช่วยบรรเทาทุกข์ร้อนได้ด้วยเช่นกัน “พระเศียรของหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” องค์นี้พระเกศมาลาถอดได้ เมื่อเปิดออกและปิดไว้ตามเดิมจะแนบสนิทเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน เคยมีคนสงสัยถึงที่มาของน้ำในพระเศียรของหลวงพ่อทองสุขว่า...จะมีการต่อท่อขึ้นมาหรือ นำน้ำมาใส่ไว้หรือเปล่า?? (https://www.dailynews.co.th/admin/upload/20180618/news_aUyltEkFWg153509_533.jpg?v=201806192212?v=7067) แต่เมื่อมีการขยับย้ายไปประดิษฐานที่อื่น ทั้งยังตักน้ำในพระเศียรจนหมด ตลอดจนนำสำลีมาเช็ดจนแห้งและเฝ้าดูปรากฎว่าไม่นานก็จะปรากฏน้ำกลับมีขึ้นมาในพระเศียรตามเดิม เมื่อเป็นอย่างนี้ก็สันนิษฐานกันต่อไปอีกว่า...พระเศียรของหลวงพ่อทองสุขน่าจะทำขึ้นมาจากโลหะอาถรรพ์หลายชนิด?? หนึ่งในนั้นก็คือ “เหล็กไหลเปียก” ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ มีคุณสมบัติพิเศษในการดูดความชื้นในอากาศให้รวมตัวกันจนเป็นหยดน้ำ แต่กระนั้นก็ตามเรื่องเล่าของ “นายคง” ชายสติไม่ดีที่บังเอิญได้ดื่มน้ำจากภายในพระเศียรหลวงพ่อทองสุข พลันก็หายวิกลจริต ก็ทำให้ผู้คนต่างพากันเชื่อมั่นว่า “น้ำในพระเศียรหลวงพ่อทองสุข” รักษาโรคต่างๆ ได้ และหลวงพ่อทองสุขจะไม่ไปประดิษฐานที่ไหนนอกจาก “วัดตูม” @@@@@@ ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่าน มีกระแสรับสั่งเคลื่อนองค์ “หลวงพ่อทองสุข” ไปไว้ในพระนคร แต่ไม่สามารถเคลื่อนไปได้ ในที่สุดต้องอัญเชิญกลับไปประดิษฐานที่ในอุโบสถวัดตูมเช่นเดิม ภายหลังจากนั้นยังมีข้าราชการผู้ใหญ่ได้อัญเชิญ “หลวงพ่อทองสุข” ไปไว้ที่เกาะเมือง ตัวจังหวัดอยุธยา ไม่นานผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างพากันล้มป่วยและฝันตรงกันว่า... “หลวงพ่อทองสุขให้อัญเชิญท่านกลับไปไว้ที่วัดตูมตามเดิม” ปัจจุบันทาง “วัดตูม” ได้จัดสร้างหอเพื่อประดิษฐาน “หลวงพ่อทองสุข” ต่างหากเพื่อให้นักท่องเที่ยวและประชาชนมาปิดทองและกราบไหว้ได้สะดวก “น้ำทิพย์มนต์” ที่วัดตูมยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญ 74 แห่ง ที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีอยู่ เป็นความชุ่มเย็นคลายทุกข์ให้กับผู้คน ในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้. …........................................ คอลัมน์ : ชำเลืองเมือง โดย “แรมทาง” ขอบคุณภาพจาก : ฅ.ฅน เล่าเรื่องมีเรื่องมาเล่า , คนอ่านไพ่ com ที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/649938 (https://www.dailynews.co.th/article/649938) |