หัวข้อ: ชาวพุทธใฝ่ธรรม หมั่นสวดมนต์ ต้องรู้ - 4 หลักการอ่าน "ภาษาบาลี" ให้คล่องปรื๊ด เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 03, 2018, 06:28:41 am (https://goodlifeupdate.com/app/uploads/2018/07/book-pages-flower-mood.jpg) ชาวพุทธใฝ่ธรรม หมั่นสวดมนต์ ต้องรู้ - 4 หลักการอ่าน "ภาษาบาลี" ให้คล่องปรื๊ด ภาษาบาลี หรือ Pali เป็นภาษาที่เก่าแก่ภาษาหนึ่งในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปียน) โดยนักปราชญ์ทางภาษาและนักการศาสนาให้ความเห็นว่า คือ ภาษาท้องถิ่นของชาวมคธ ในชมพูทวีป คำว่า “บาลี” มีความหมายว่า “ภาษาอันรักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์” เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้ทรงจำและจารึกรักษาพุทธพจน์มาแต่ดั้งเดิม โดยใช้บันทึกเป็นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท จึงนับว่ามีความสำคัญมาก แม้แต่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังเคยประทานพระโอวาทเมื่อครั้งเสด็จไปวัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในการที่คณะธรรมยุต แสดงมุทิตาต่อพระภิกษุสามเณรผู้สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๑ ความว่า “ความเข้าใจกระจ่างใน ‘พระไตรปิฎก’ ที่โบราณาจารย์เรียกว่า ‘พระบาลี’ นั้นคือ การรักษาพระบวรพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่โลก" “สาเหตุที่บูรพาจารย์ท่านใช้คำว่าพระบาลี เสมอแทนด้วยคำว่าพระไตรปิฎก ก็เพราะภาษาบาลีคือ ภาษาที่รักษาอรรถธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้อย่างไม่แปรผันบิดเบือน ความรู้พระไตรปิฎกฉบับภาษาอื่นย่อมมีประโยชน์ก็จริงอยู่ แต่ก็เสมือนเรียนรู้เพียงข้อมูลระดับทุติยภูมิ ซึ่งถูกแปลผ่านบริบทถ้อยคำและวัฒนธรรมทางภาษาออกมาแล้วชั้นหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจบวชเรียนทุกรูป ที่จะต้องทำความเข้าใจพระไตรปิฎกภาษาบาลี อันเป็นข้อมูลระดับปฐมภูมิด้วยตนเองให้ได้ การเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี จึงอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความสำคัญคู่สังคมไทยมานับแต่โบราณกาลตราบจนปัจจุบัน” (https://www.amarinbooks.com/wp-content/uploads/2017/09/dhammacover41-02-01.png) จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีบทบัญญัติว่าพุทธศานิกชนทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาศึกษาภาษาบาลีเหมือนพระสงฆ์ ทว่าสำหรับผู้ที่ต้องการลึกซึ้งใน ‘ธรรม’ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การรู้หลักการอ่าน ภาษาบาลี ให้คล่อง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แต่ก่อนจะอ่านให้คล่อง ต้องรู้ก่อนว่าภาษาบาลีมีตัวอักษรทั้งสิ้น 41 ตัว โดยแบ่งเป็น 1. สระ 8 ตัว ได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ให้สังเกตว่าเฉพาะสระ ‘อะ’ จะไม่ปรากฏรูปร่าง ส่วนอีก 7 ตัว รูปสระจะยังคงตัว และสระทุกตัว นิยมอ่านออกเสียงเหมือนในภาษาไทย (http://2.bp.blogspot.com/-IYLvQmfvirc/Uah1kBWEToI/AAAAAAAAF6g/BN6i7jJQRUs/s1600/%25E0%25B8%259E-%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5.jpg) 2. พยัญชนะ ซึ่งในภาษาบาลีมีทั้งสิ้น 33 ตัว ได้แก่ ก ข ค ฆ ง เรียกว่า วรรค ก จ ฉ ช ฌ ญ เรียกว่า วรรค จ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เรียกว่า วรรค ฏ ต ถ ท ธ น เรียกว่า วรรค ต ป ผ พ ภ ม เรียกว่า วรรค ป (https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/34483585_1720192641398338_778015879513243648_n.jpg?_nc_cat=0&oh=1a997639511b5449f19d3fe1e8e21d8f&oe=5BE2A976) พยัญชนะเศษวรรค เรียก ‘อวรรค’ มี 8 ตัว คือ ย ร ล ว ส ห ฬ (เพราะมีเสียงเกิดจากฐานต่างกันไป) ทั้งนี้เมื่อนำมาเขียนถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว จะมีลักษณะที่ควรสังเกตประกอบการอ่าน ดังนี้ 1. ตัวอักษรทุกตัวที่ไม่มีเครื่องหมายใดอยู่บนหรือล่าง และไม่มีสระใดๆ กำกับไว้ ให้อ่านอักษรนั้นเป็นเสียง “อะ” ทุกตัว เช่น ยถาวาที ตถาการี อ่านว่า ยะ-ถา-วา-ที ตะ-ถา-วา-ที อรหโต อ่านว่า อะ-ระ-หะ-โต ภควา อ่านว่า ภะ-คะ-วา นมามิ อ่านว่า นะ-มา-มิ โลกวิทู อ่านว่า โล-กะ-วิ-ทู (http://[url=https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/34396162_1720200438064225_152363221796257792_n.jpg?_nc_cat=0&oh=9d2f8e58eb7c8772ef61aa86a5f240a6&oe=5BE3ADC2]https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/34396162_1720200438064225_152363221796257792_n.jpg?_nc_cat=0&oh=9d2f8e58eb7c8772ef61aa86a5f240a6&oe=5BE3ADC2[/url]) 2. ตัวอักษรใดมีเครื่องหมายพินทุ ( ฺ ) อยู่ข้างใต้ แสดงว่าอักษรนั้นเป็นตัวสะกดของอักษรที่อยู่ข้างหน้า เมื่อผสมกันแล้วให้อ่านเหมือนเสียง อะ+(ตัวสะกด) นั้น เช่น ขนฺติโก (ขะ+น = ขัน) อ่านว่า ขันติโก สมฺมา (สะ+ม = สัม) อ่านว่า สัม-มา สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อ่านว่า สัง-โฆ ยกเว้นในกรณีที่พยัญชนะตัวหน้ามีเครื่องหมายสระกำกับอยู่แล้ว ให้อ่านรวมกันตามตัวสะกดนั้น เช่น พุทฺโธ อ่านว่า พุท-โธ พุทฺธสฺส อ่านว่า พุท-ธัส-สะ สนฺทิฏฺฐิโย อ่านว่า สัน-ทิฏ-ฐิ-โย ปาหุเนยฺโย อ่านว่า ปา-หุ-เนย-โย (https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/34455630_1720198581397744_5201191127574642688_n.jpg?_nc_cat=0&oh=69908520339fa859c8564765934d603d&oe=5BDC3F6D) 3. อักษรใดเป็นตัวนำแต่มีเครื่องหมายพินทุ ( ฺ ) อยู่ข้างใต้ด้วย ให้อ่านออกเสียง “อะ” ของอักษรนั้นเพียงครึ่งเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เช่น สฺวากฺขาโต อ่านว่า สะหวาก-ขา-โต ตสฺมา อ่านว่า ตะ-สมา กตฺวา อ่านว่า กะ – ตวา (https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/34602642_1720194141398188_8310778098765266944_n.jpg?_nc_cat=0&oh=1438b81414c0cb6a4b338be4db3d2a37&oe=5BA2363F) 4. อักษรใดมีเครื่องหมายนฤคหิต ( ํ ) อยู่ข้างบนตัวอักษร ให้อ่านเหมือนอักษรนั้นมีไม้หันอากาศและสะกดด้วยตัว “ง” เช่น อรหํ อ่านว่า อะ-ระ-หัง สงฺฆํ อ่านว่า สัง-ฆัง ธมฺมํ อ่านว่า ธัม-มัง สรณํ อ่านว่า สะ-ระ-นัง อญฺญํ อ่านว่า อัญ-ญัง แต่ถ้าตัวอักษรนั้นมีทั้งเครื่องหมาย ( ํ ) อยู่ข้างบนและมีสระอื่นกำกับอยู่ด้วย ก็ให้อ่านออกเสียงตามสระที่กำกับ + ง (ตัวสะกด) เช่น พาหุํํํํ ํ อ่านว่า พา-หุง วิสุํ อ่านว่า วิ-สุง เสตุํ อ่านว่า เส-ตุง (https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/34469770_1720188844732051_4999756787730087936_n.jpg?_nc_cat=0&oh=82cdc605cbc7b412371b2e26fe66228c&oe=5BDEA889) จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ หนังสือสวดมนต์ หรือบทสวดมนต์ตามวัดมักถอดคำอ่านออกเสียงแบบเด่นชัด แต่การรู้หลักการอ่านที่ถูกต้องก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่แน่เราอาจจะไปเจอบทสวดที่ยังไม่ได้รับการถอดคำ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่นก หรือเป็นไก่ได้พลอยยังไงละ ท้ายนี้หากมีใครสงสัยว่า ทำไมเราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลีด้วย? พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้เคยฝากคำตอบไว้กับ Secret ว่า “ที่เราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ก็เพราะมนต์นั้นคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสั่งสอนด้วยภาษาบาลี เมื่อเรานำเอามนต์ซึ่งจำไว้ด้วยภาษาบาลีนั้นมาสวด ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะต้องสวดเป็นภาษาบาลีตามรูปแบบเดิม เหมือนเรานำเอาภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยกับคนไทย เราก็ยังคงต้องพูดภาษาอังกฤษเหมือนกับภาษาแม่ทุกประการ” ที่มาข้อมูล : dhamma4today.blogspot.com/2013/03/blog-post_16.html ภาพ : Secret ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/100448.html (https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/100448.html) |