หัวข้อ: ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เคยเสวยพระชาติ "เป็นพญานาค ๓ ครั้ง" เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 14, 2018, 10:14:54 am (https://www.phuttha.com/multimedia/images/articles/section-buddha/2017/phraphuritat.jpg) ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เคยเสวยพระชาติ "เป็นพญานาค ๓ ครั้ง" (อุบายบรรเทาความโกรธประการที่ ๖ ด้วยพิจารณาถึงพระพุทธจริยาในปางก่อน) ก็แหละ ถ้าโยคีบุคคลได้พยายามพิจารณาถึงภาวะที่ตนและคนอื่นเป็นผู้มีกรรมเป็นของแห่งตนอย่างนี้แล้ว ความโกรธแค้นก็มิได้สงบอยู่นั่นแล แต่นั้นจงระลึกถึงพระคุณ คือพระจริยาวัตรของพระบรมศาสดาในปางก่อน เพื่อบรรเทาความโกรธแค้นต่อไป ในพระพุทธจริยาวัตรแต่ปางก่อนนั้น มีส่วนที่โยคีบุคคลควรจะนำมาพิจารณาเตือนตนด้วยวิธีดังต่อไปนี้ นี่แน่ะ พ่อมหาจำเริญ.! พระบรมศาสดาของเจ้าแต่ปางก่อน แต่ยังมิได้ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ อยู่ถึง ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัปนั้น พระองค์ก็มิได้ทรงทำพระหฤทัยให้โกรธเคือง แม้ในศัตรูทั้งหลายผู้พยายามประหัตประหารพระองค์อยู่ในชาตินั้นๆ มิใช่หรือ ? พระจริยาวัตรของพระบรมศาสดาในปางก่อน แต่ละเรื่องนั้น พึงทราบแต่โดยย่อดังนี้ @@@@@@ ๑. เรื่องพระเจ้าสีลวะ ในสีลวชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีพระนามว่า พระเจ้าสีลวะ อำมาตย์ผู้ใจบาปหยาบช้าได้ลอบล่วงประเวณีกับพระอัครมเหสีของพระองค์แล้ว ไปเชื้อเชิญเอาพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์มายึดเอาพระราชสมบัติ ในที่อันมีอาณาบริเวณถึงสามร้อยโยชน์ พระโพธิสัตว์สีลวราชา ก็มิได้ทรงอนุญาตให้หมู่มุขอำมาตย์ผู้จงรักภักดีลุกขึ้นจับอาวุธเข้าต่อต้าน ต่อมาพระองค์พร้อมด้วยหมู่มุขอำมาตย์พันหนึ่ง ได้ถูกเขาขุดหลุมฝังทั้งเป็นลึกแค่พระศอ ตรงที่ป่าช้าผีดิบ พระองค์ก็มิได้ทรงเสียพระราชหฤทัยแม้แต่น้อย อาศัยพวกสุนัขจิ้งจอก มันพากันมาคุ้ยกินซากศพ ได้ขุดคุ้ยดินออก พระองค์จึงได้ทรงใช้ความเพียรของลูกผู้ชาย ด้วยกำลังแห่งพระพาหา ทรงตะกายออกมาจากหลุม จึงทรงรอดชีวิตได้ และด้วยอานุภาพเทวดาช่วยบันดาลพระองค์ได้เสด็จขึ้นไปยังพระราชนิเวศน์ของพระองค์ ทรงเห็นพระราชาผู้เป็นศัตรู บรรทมอยู่บนพระแท่นที่บรรทม พระองค์ก็มิได้ทรงพระพิโรธโกรธเคืองแต่ประการใด กลับทรงปรับความเข้าพระทัยดีต่อกันและกัน แล้วทรงตั้งพระราชาผู้เป็นศัตรูนั้นไว้ในฐานแห่งมิตร และได้ตรัสสุภาษิตว่า อาสึเสเถว ปุริโส น นิพฺพินฺเทยฺย ปณฺฑิโต ปสฺสามิ โวหมตฺตานํ ยถา อิจฺฉึ ตถา อหุง ชาติชายผู้บัณฑิต พึงทำความหวังโดยปราศจากโทษไปเถิด อย่าพึงเบื่อหน่ายท้อถอยเสียเลย เรามองเห็นทางอยู่ว่า เราปรารถนาที่จะสถาปนาตนไว้ในราชสมบัติโดยไม่เบียดเบียนใครๆ ด้วยประการใด เราก็จะปฏิบัติด้วยประการนั้น @@@@@@ ๒. เรื่องขันติวาทีดาบส ในขันติวาทีชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นขันติวาทีดาบส เมื่อพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงครองแว่นแคว้นกาสี พระนามว่าพระเจ้ากลาพุ ได้ตรัสถามพระโพธิสัตว์ขันติวาทีดาบสว่า “สมณะ.! พระผู้เป็นเจ้านับถือวาทะอะไร.?” พระโพธิสัตว์ทูลตอบว่า “อาตมภาพนับถือขันติวาทะ คือนับถือความอดทน” ทีนั้นพระเจ้ากลาพุได้ทรงรับสั่งให้เฆี่ยนพระโพธิสัตว์ด้วยแส้มีหนามเหล็กเป็นการพิสูจน์ จนในที่สุดถูกตัดมือและเท้า แต่แล้วพระโพธิสัตว์ก็มิได้ทำความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย @@@@@@ ๓. เรื่องธรรมปาลกุมาร การที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้ใหญ่แล้ว และทรงดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต สามารถอดกลั้นได้เหมือนเช่นพระเจ้าสีลวะและขันติวาทีดาบสนั้น ยังไม่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เท่าไรนัก ส่วนในจูฬธัมมปาลชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นธรรมปาลกุมาร ทรงเป็นเป็นทารกยังหงายอยู่เทียว ถูกพระเจ้ามหาปตาปะผู้เป็นพระบิดา มีพระราชบัญชาให้ตัดพระหัตถ์และพระบาททั้ง ๔ ดุจว่าให้ตัดหน่อไม้ในขณะที่พระมารดาทรงพิไรคร่ำครวญอยู่ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ แขนทั้งสองของพ่อธรรมปาละ ผู้เป็นรัชทายาทในแผ่นดิน ซึ่งไล้ทาแล้วด้วยรสแห่งจันทน์หอม กำลังจะขาดไปอยู่แล้ว หม่อมฉันจะหาชีวิตมิได้อยู่แล้วละเพค่ะ” แม้กระนั้นแล้ว พระเจ้ามหาปตาปะก็ยังมิได้ถึงความสาสมพระราชหฤทัย ได้ทรงมีพระราชโองการไปอีกว่า “จงตัดศีรษะมันเสีย” ฝ่ายพระโพธิสัตว์ธรรมปาลกุมารก็มิได้ทรงแสดงออกแม้เพียงพระอาการเสียพระทัย ทรงอธิฐานสมาทานอย่างแม่นมั่น แล้วทรงโอวาทพระองค์เองว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะต้องประคองรักษาจิตของเจ้าไว้ให้ดีแล้วนะ พ่อธรรมปาละผู้เจริญ.! บัดนี้เจ้าจงทำจิตให้เสมอในบุคคลทั้ง ๔ คือ พระบิดาผู้ทรงบัญชาให้ตัดศีรษะ ๑ พวกราชบุรุษที่จะตัดศีรษะ ๑ พระมารดาที่กำลังทรงพิไรรำพัน ๑ ตนของเจ้าเอง ๑ การที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์แล้ว ทรงอดกลั้นได้ต่อการทารุณกรรมต่างๆจากศัตรู เหมือนอย่างในเรื่องทั้งสามที่แสดงมาแล้วนั้น แม้ข้อนี้ก็ยังไม่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากนัก ส่วนที่น่าอัศจรรย์มากยิ่งกว่านั้น คือพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสัตว์เดียรัจฉานในกำเนิดต่างๆ และได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ดังต่อไปนี้ @@@@@@ ๔. เรื่องพญาช้างฉัททันตะ เรื่องแรก ได้แก่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาช้าง ชื่อฉัททันตะ แม้พระองค์จะถูกนายพรานยิงด้วยลูกศรอันกำซาบด้วยยาพิษ ณ ที่ตรงสะดือ ก็มิได้ขุ่นเคืองใจในนายพรานผู้ซึ่งทำความพินาศให้แก่ตนอยู่เช่นนั้น ข้อนี้สมด้วยคำบาลีในคัมภีร์ชาดกว่า พญาช้างฉัททันตะ แม้จะถูกทิ่มแทงด้วยลูกศรเป็นอันมากแล้ว ก็มิได้มีจิตคิดประทุษร้ายในนายพราน กลับพูดกับเขาอย่างอ่อนหวานว่า “พ่อสหาย นี่ต้องการอะไรหรือ.? ท่านยิงเราด้วยเหตุแห่งสิ่งใดหรือ.? การที่ท่านมา ณ ที่นี้แล้วทำกับเราอย่างนี้ มิใช่เป็นด้วยอำนาจของท่านเอง ดังนั้น การพยายามทำเช่นนี้ ท่านทำเพื่อพระราชาองค์ใด.? หรือเพื่อมหาอำมาตย์คนใดหรือ.?" ก็แหละ ครั้นพระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันตะถามอย่างนี้แล้ว นายพรานก็ได้ตอบออกมาตามความสัตย์จริงว่า “ท่านผู้เจริญ พระราชเทวีของพระเจ้ากาสีได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการงาของท่าน” ทันทีนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะทำพระราชประสงค์ของพระเทวีนั้นให้สำเร็จบริบูรณ์ จึงได้ให้ตัดงาทั้งสองของตนอันมีความงามดุจทองคำธรรมชาติ สุกปลั่งด้วยแสงอันเปล่งออกแห่งรัศมีอันประกอบด้วยสี ๖ ประการ แล้วก็มอบให้นายพรานนั้นไปถวาย @@@@@@ ๕. เรื่องพญากระบี่ เรื่องที่สอง ครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญากระบี่ พระโพธิสัตว์พญากระบี่นั้น ได้ช่วยบุรุษคนหนึ่งให้ขึ้นจากเหวจนรอดชีวิตมาได้ ครั้นแล้วบุรุษนั้นเองได้คิดทรยศต่อพระองค์ว่า “วานรนี้ย่อมเป็นอาหารของมนุษย์ได้ ฉันเดียวกับพวกเนื้อมฤคในป่าประเภทอื่น ๆ ถ้ากระไร เราหิวขึ้นมาแล้วจะพึงฆ่าวานรนี้กินเป็นอาหาร ครั้นกินอิ่มแล้วจักเอาเนื้อที่เหลือไปเป็นเสบียงเดินทาง เราก็จักข้ามพ้นทางทุรกันดารไปได้ เนื้อนี้จักเป็นเสบียงของเรา” ครั้นแล้วเขาก็ยกก้อนศิลาขึ้นทุ่มลงบนกระหม่อมของพระโพธิสัตว์ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้จ้องมองดูบุรุษนั้นด้วยหน่วยตาทั้งสองอันนองด้วยน้ำตา ทั้งนี้ด้วยความกรุณาว่า เจ้าคนนี้เป็นอันธพาลประทุษร้ายมิตร แล้วพูดกับเขาด้วยความปรารถนาดีว่า อย่านะท่าน.! ท่านเป็นแขกสำหรับข้าพเจ้า ท่านยังสามารถทำกรรมอันหยาบช้าทารุณทำนองนี้ได้ ท่านยังจะอยู่ไปอีกนาน ควรจะช่วยห้ามคนอื่นๆเขาเสียด้วย ครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว ก็มิได้มีจิตคิดประทุษร้ายในบุรุษนั้น มิหนำซ้ำยังมิได้คิดห่วงถึงความลำบากของตน ได้ช่วยส่งบุรุษนั้นให้พ้นจากทางทุรกันดารจนลุถึงภูมิสถานอันเกษมปลอดภัยต่อไป @@@@@@ ๖. เรื่องพญานาคชื่อภูริทัตตะ เรื่องที่สาม ครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานาคราชชื่อภูริทัตตะ พระโพธิสัตว์พญานาคภูริทัตตะนั้น ได้อธิษฐานเอาอุโบสถศีลแล้วขึ้นไปนอนอยู่บนยอดจอมปลวก ครั้งนั้นพวกพราหมณ์หมองูได้เอาโอสถมีพิษเหมือนกับไฟประลัยกัลป์ปราดใส่ทั่วทั้งตัว กระทืบด้วยเท้าทำให้อ่อนกำลังแล้วจับยัดใส่ข้องเล็ก ๆ นำไปเล่นกลให้คนดูจนทั่วชมพูทวีป พระโพธิสัตว์พญานาคภูริทัตตะก็มิได้แสดงอาการแม้เพียงนึกขัดเคืองในใจในพราหมณ์นั้นแต่ประการใด ข้อนี้สมด้วยความบาลีในคัมภีร์จริยาปิฏกว่า เมื่อหมอดูชื่ออาลัมพานะ จับเรายัดใส่ในข้องเล็กๆก็ดี ย่ำเหยียบเราด้วยส้นเท้า เพื่อให้อ่อนกำลังลงก็ดี เรามิได้โกรธเคืองในหมองูอาลัมพานะนั้นเลย ทั้งนี้เพราะเรากลัวศีลของเราจะขาดกระท่อนกระแท่นไป @@@@@@ ๗. เรื่องพญานาคชื่อจัมเปยยะ เรื่องที่สี่ ครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานาคราช ชื่อจัมเปยยะ แม้พระโพธิสัตว์พญานาคจัมเปยยะนั้นจะได้ถูกหมองูทรมานเบียดเบียนอยู่ด้วยประการต่างๆ ก็มิได้แสดงอาการแม้เพียงนึกขัดเคืองในใจ ข้อนี้ สมด้วยความบาลีในคัมภีร์จริยาปิฏกว่า แม้ในชาติเป็นจัมเปยยะนาคราชนั้น เราก็ได้ประพฤติธรรมจำอุโบสถศีล หมองูได้จับเอาเราไปเล่นกลอยู่ที่ประตูพระราชวัง เขาประสงค์จะให้เราแสดงเป็นสีอะไร คือเป็นสีเขียวสีเหลืองสีขาวหรือสีแสดแก่ เราก็คล้อยให้เป็นไปตามใจประสงค์ของเขา เรามีความตั้งใจอยู่ว่า “ขอให้หมองูนี่ได้ลาภมาก ๆ เถิด” และด้วยอานุภาพของเรา เราสามารถที่จะบันดาลที่ดอนให้กลายเป็นน้ำก็ได้ แม้บันดาลน้ำให้กลายเป็นที่ดอนก็ได้ ถ้าเราจะพึงโกรธเคืองเจ้าหมองูนั้น เราก็สามารถที่จะทำให้เขากลายเป็นเถ้าถ่านชั่วครู่เท่านั้น แต่ถ้าเราตกอยู่ใต้อำนาจอกุศลจิตเท่านั้น เราก็จักเสื่อมจากศีล เมื่อเสื่อมจากศีลแล้ว ความปรารถนาขั้นสุดยอด คือ ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ของเราก็จะไม่สำเร็จสมประสงค์ @@@@@@ เรื่องพญานาคชื่อสังขปาละ เรื่องที่ห้า ครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานาคราชชื่อสังขปาละ พระโพธิสัตว์สังขปาละนั้น ถูกบุตรนายพราน ๑๖ คนช่วยกันเอาหอกอย่างแหลมคมแทงเข้าที่ลำตัวถึง ๘ แห่ง แล้วเอาเครือวัลย์ที่เป็นหนามร้อยเข้าไปในรูแผลที่แทงนั้น ๆ เอาเชือกอย่างมั่นเหนียวร้อยเข้าทางรูจมูกแล้วช่วยกันลากไป ลำตัวถูกครูดสีไปกับพื้นดิน พระโพธิสัตว์สังขปาละนาคราช ได้เสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง แม้พระโพธิสัตว์จะสามารถบันดาลให้บุตรนายพรานเหล่านั้นแหลกละเอียดเป็นเถ้าธุลี ด้วยวิธีเพียงแต่โกรธแล้วจ้องมองดูเท่านั้น แต่พระโพธิสัตว์ก็มิได้ทำการโกรธเคืองลืมตาจ้องมองดูเขาเหล่านั้นเลย ข้อนี้สมด้วยความบาลีในคัมภีร์ชาดกว่า ดูก่อนนายอฬาระ เราอยู่จำอุโบสถศีลเป็นนิจทุกวันพระ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ คราวครั้งนั้น ได้มีบุตรของนายพราน ๑๖ คน พากันถือเชือกและบ่วงอย่างมั่นเหนียวไปหาเรา แล้วเขาได้ช่วยกันร้อยจมูกเรา ฉุดดึงเชือกที่ร้อยจมูกผูกตรึงเราหมดทั้งตัวแล้วลากเราไป ทุกข์อย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนั้น เราก็ยังอดกลั้นได้ ไม่ยอมทำให้อุโบสถศีลกำเริบเศร้าหมอง @@@@@@ แท้ที่จริงนั้น พระบรมศาสดามิใช่ได้ทรงทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ไว้เพียงที่ยกมาแสดงเป็นตัวอย่างนี้เท่านั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระจริยาวัตรอันน่าอัศจรรย์ แม้อย่างอื่นๆไว้เป็นอเนกประการ ซึ่งมีปรากฏในชาดกต่าง ๆ เช่น มาตุโปสกชาดก เป็นอาทิ ก็แหละ บัดนี้ เมื่อเจ้าได้อ้างอิงเอาพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ผู้ทรงมีพระขันติคุณอย่างไม่มีใครเสมอเหมือน ทั้งในโลกมนุษย์และโลกเทวดาว่าเป็นศาสดาของเจ้าดังนี้แล้ว การที่เจ้าจะยอมจำนนให้จิตโกรธแค้นเกิดขึ้นครอบงำได้อยู่ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบไม่สมควรอย่างยิ่งเทียว ที่มา :- คัมภีร์วิสุทธิมรรค ฉบับแปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ) และคณะ https://th.wikisource.org/wiki/วิสุทธิมรรค_เล่ม_๒_ภาคสมาธิ_ปริเฉทที่_๙_พรหมวิหารนิเทศ_หน้าที่_๙๖_-_๑๐๐ (https://th.wikisource.org/wiki/วิสุทธิมรรค_เล่ม_๒_ภาคสมาธิ_ปริเฉทที่_๙_พรหมวิหารนิเทศ_หน้าที่_๙๖_-_๑๐๐) https://th.wikisource.org/wiki/วิสุทธิมรรค_เล่ม_๒_ภาคสมาธิ_ปริเฉทที่_๙_พรหมวิหารนิเทศ_หน้าที่_๑๐๑_-_๑๐๕ (https://th.wikisource.org/wiki/วิสุทธิมรรค_เล่ม_๒_ภาคสมาธิ_ปริเฉทที่_๙_พรหมวิหารนิเทศ_หน้าที่_๑๐๑_-_๑๐๕) ขอบคุณภาพจาก : https://www.phuttha.com/คลังความรู้/บทความวิชาการ/พุทธวิธีการสื่อธรรมนิทานในทศชาติชาดก (https://www.phuttha.com/คลังความรู้/บทความวิชาการ/พุทธวิธีการสื่อธรรมนิทานในทศชาติชาดก) หัวข้อ: Re: ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เคยเสวยพระชาติ "เป็นพญานาค ๓ ครั้ง" เริ่มหัวข้อโดย: CardMiner ที่ ธันวาคม 18, 2018, 09:21:47 am มีเป็นแบบ youtube ให้เด็กๆ ดูหรือเปล่าครับ
|