หัวข้อ: "การงาน" ที่เป็นเหตุแห่ง "ความเสื่อม" ของภิกษุและกัลยาณปุถุชน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 27, 2019, 08:09:30 am (http://www.madchima.net/forum/gallery/30_27_01_19_9_38_41.jpeg) "การงาน" ที่เป็นเหตุแห่ง "ความเสื่อม" ของภิกษุและกัลยาณปุถุชน [๗๙] แท้จริง พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว พระสูตรนี้ พระอรหันต์กล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ “ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุผู้เป็นเสขะในธรรมวินัยนี้ ๑. เป็นผู้ชอบการงาน(๑-) ยินดีในการงาน หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการงาน ๒. เป็นผู้ชอบการพูดคุย ยินดีในการพูดคุย หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการพูดคุย ๓. เป็นผู้ชอบการนอนหลับยินดีในการนอนหลับ หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการนอนหลับ ธรรม ๓ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะ” @@@@@@ ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุผู้เป็นเสขะในธรรมวินัยนี้ ๑. เป็นผู้ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีในการงาน ไม่หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการงาน ๒. เป็นผู้ไม่ชอบการพูดคุย ไม่ยินดีในการพูดคุย ไม่หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการพูดคุย ๓. เป็นผู้ไม่ชอบการนอนหลับ ไม่ยินดีในการนอนหลับ ไม่หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการนอนหลับ ธรรม ๓ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะ” @@@@@@ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว ในพระสูตรนั้น จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า "ภิกษุชอบการงาน ยินดีในการพูดคุย ชอบการนอนหลับ มีจิตฟุ้งซ่าน เช่นนี้ จึงไม่ควรเพื่อจะบรรลุอรหัตตผลอันยอดเยี่ยมได้ เพราะฉะนั้น ภิกษุจึงควรเป็นผู้ทำกิจแต่น้อย นอนหลับแต่พอสมควร มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน เช่นนี้ จึงควรเพื่อจะบรรลุอรหัตตผลอันยอดเยี่ยมได้" แม้เนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้แล ปริหานสูตรที่ ๑๐ จบ เชิงอรรถ :- (๑-) การงาน ในที่นี้หมายถึง งานนวกรรม คือ การก่อสร้างต่างๆ เช่น การก่อสร้างวิหาร เป็นต้น ความเป็นผู้ยินดีแต่การก่อสร้างจึงถือว่า เป็นความเสื่อมในพระธรรมวินัยนี้ เพราะทำให้ละเลยต่อการบำเพ็ญคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๑๔/๑๐๕ (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/attha_page.php?book=16&page=105&modeTY=2&edition=thai), องฺ.ฉกฺก.ฏีกา. ๓/๑๔-๑๕/๑๑๘) ที่มา : ปริหานสูตร ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุแห่งความเสื่อม พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ขอบคุณ : http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=194 (http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=194) (http://www.madchima.net/forum/gallery/30_27_01_19_10_25_59.jpeg) อรรถกถาปริหานสูตร ในปริหานสูตรที่ ๑๐ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- บทว่า ปริหานาย สํวตฺตนฺติ ความว่า ย่อมมีเพื่อความไม่เจริญ คือมีเพื่อเป็นอันตรายต่อการบรรลุมรรค. แต่ขึ้นชื่อว่ามรรคที่ได้บรรลุแล้วเสื่อม ไม่มี. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกธรรมที่ทรงยกขึ้นแสดงด้วยสามารถแห่งธรรมาธิษฐานว่า ธรรม ๓ อย่างดังนี้ด้วยเทศนาที่เป็นบุคลาธิษฐาน จึงตรัสคำมีอาทิว่า อิธ ภิกฺขเว เสโว ภิกฺขุ ดังนี้. ใน ๓ อย่างนั้น ภิกษุชื่อว่า กัมมารามะ เพราะมีการงานเป็นที่มายินดี เพราะต้องเพลิดเพลินอยู่กับ (การงาน). ชื่อว่า กมฺมรโต เพราะยินดีแล้วในการงาน. ชื่อว่า กมฺมารามตมนุยุตฺโต เพราะประกอบเนืองๆ คือ ขวนขวายความยินดียิ่งในงาน คือ ความเพลิดเพลินในงาน. การงานที่จะต้องกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า การงาน @@@@@@ ในบทว่า กมฺมาราโม นั้น เช่นการทำอุปกรณ์มีอาทิอย่างนี้ คือ การตรวจจีวร การทำจีวร การซ่อมแซมตลกบาตร ผ้าอังสะ ประคดเอว ธมกรก เชิงบาตร กระเบื้องรองเท้า การปัดกวาด และการปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดและแตกหักเป็นต้นในพระวิหาร. จริงอยู่ ภิกษุบางรูป เมื่อกระทำสิ่งเหล่านี้ ย่อมกระทำสิ่งเหล่านั้นแหละตลอดทั้งวัน. บทว่า กมฺมาราโม นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการงานนั้น. ส่วนภิกษุใดในเวลาทำงานเหล่านี้เท่านั้น จึงจะทำงานเหล่านี้ ในเวลาเรียนอุเทศก็เรียนอุเทศ ในเวลาท่องบ่นก็ท่องบ่น ในเวลาทำวัตรมีวัตรคือ การปัดกวาดลานพระเจดีย์ เป็นต้น กระทำวัตร (คือการปัดกวาด) ลานพระเจดีย์ ในเวลาทำมนสิการ ก็ทำมนสิการในสัพพัตถกกรรมฐาน หรือในปาริหาริยกรรมฐาน. ภิกษุนั้นหาชื่อว่าเป็นผู้มีการงานเป็นที่มายินดีไม่ (ไม่หมกมุ่นงาน). การงานของเธอนั้นย่อมเป็นการกระทำที่พระศาสดาทรงอนุญาตไว้ทีเดียว โดยนัยมีอาทิว่า ก็เธอเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในกรณียกิจน้อยใหญ่ ที่เป็นของเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย เป็นผู้ประกอบด้วยการใคร่ครวญ อันเป็นอุบายในกรณียกิจนั้น สามารถเพื่อจะกระทำ สามารถเพื่อจะจัดแจงได้ ดังนี้.(๑-) ____________________________ (๑-) ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๕๗ (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=11&item=357#357) องฺ. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๑๗ (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=24&item=17) @@@@@@ บทว่า ภสฺสาราโม ความว่า ภิกษุใดยังวันและคืนให้ล่วงไปด้วยสามารถแห่งการกล่าวถึงราชกถาเป็นต้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามไว้แล้ว ภิกษุนี้เป็นผู้พูดไม่รู้จบ เพราะฉะนั้น ภิกษุนี้จึงชื่อว่า ภสฺสาราโม (ยินดีในการพูด). ส่วนภิกษุใดพูดธรรม วิสัชนาปัญหา เวลากลางคืนบ้าง กลางวันบ้าง ภิกษุนี้ชื่อว่าเป็นผู้พูดน้อย พูดมีสิ้นสุด. เพราะเหตุไร.? เพราะว่า เธอดำเนินตามวิธีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วทีเดียวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สำหรับภิกษุทั้งหลายที่ประชุมกันแล้วมีกิจที่จะต้องกระทำ ๒ อย่าง คือกล่าวธรรมหรือนิ่งแบบพระอริยะ.(๒-) ____________________________ (๒-) ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๓๑๓ (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=12&item=313#313) @@@@@@ บทว่า นิทฺทาราโม ความว่า ภิกษุใดฉันจนเต็มท้องเต็มตามที่ต้องการ ประกอบเนืองๆ ซึ่งความสุขในการนอน ความสุขในการเอน ความสุขในการหลับ และภิกษุใดเดินก็ดี นั่งก็ดี ถูกถีนมิทธะครอบงำหลับอยู่ ภิกษุนี้นั้นชื่อว่า นิทฺทาราโม (ยินดีในความหลับ). ส่วนภิกษุใดมีจิตหยั่งลงสู่ภวังค์ เพราะอาพาธ (ความเจ็บไข้ของกรชกาย) ภิกษุนี้หาชื่อว่า นิทฺทาราโม (ยินดีในความหลับ) ไม่. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอัคคิเวสนะ ก็แลเราตถาคตรู้อยู่ว่า ในเดือนท้ายฤดูร้อน เราตถาคตกลับจากบิณฑบาต หลังฉันเสร็จแล้ว ปูสังฆาฏิให้เป็น ๔ ชั้น แล้วเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ความหลับโดยข้างเบื้องขวา รู้สึกตัวอยู่ ดังนี้.(๓-) ____________________________ (๓-) ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๓๐ (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=12&item=430#430) ก็ในพระสูตรนี้ ถึงกัลยาณปุถุชน ก็พึงทราบว่า เป็นพระเสกขะเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ธรรม ๓ อย่างนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งการบรรลุคุณพิเศษของกัลยาณปุถุชน แม้ทั้งหมดนั้น และการบรรลุคุณพิเศษสูงๆ ขึ้นไปของพระเสกขะนอกนี้. พึงทราบการขยายความแห่งธรรมฝ่ายขาวตามปริยายที่ตรงข้ามกับที่กล่าวแล้ว. @@@@@@ พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้. บทว่า อุทฺธโต ความว่า ฟุ้งซ่าน คือไม่สงบ เพราะอุทธัจจะที่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน. บทว่า อปฺปกิจฺจสฺส ความว่า เธอพึงเป็นผู้มีกิจการน้อย เพราะกระทำในเวลาที่ขวนขวายประกอบกิจ มีประการดังกล่าวแล้วเท่าที่ทรงอนุญาตไว้. บทว่า อปฺปมิทฺโธ ความว่า พึงเป็นผู้เว้นจากการหลับ เพราะชาคริยานุโยคที่ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน. บทว่า อนุทฺธโต ความว่า เป็นผู้ไม่มีการพูดเป็นที่มายินดี ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน คือมีจิตสงบ. อธิบายว่า (มีจิต) เป็นสมาธิ เพราะเว้นความฟุ้งซ่านแห่งจิต ที่เกิดขึ้นเพราะมีการพูดคุยเป็นที่มายินดี. @@@@@@ คำที่เหลือเข้าใจได้ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยเหมือนที่เคยกล่าวแล้วในก่อน. ด้วยประการดังพรรณนามานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัฏฏะไว้ในพระสูตรที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ และที่ ๙ ไว้ในวรรคนี้แล้ว. จบอรรถกถาปริหานสูตรที่ ๑๐ ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=257 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=257) |