หัวข้อ: เหงากันทั้งอำเภอ.! เมื่อวิจัยบอกว่า "ความเหงา" แพร่กระจายได้ คล้ายโรคติดต่อ.!! เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 04, 2019, 06:14:58 am (https://image.dek-d.com/contentimg/2019/kwang/TeenTrends/TopHitStory/lonely/02.jpg) ภาพจาก pixabay.com เหงากันทั้งอำเภอ.! เมื่อวิจัยบอกว่า "ความเหงา" แพร่กระจายได้ คล้ายโรคติดต่อ.!! - ผู้คน 52% จะรู้สึกเหงากว่าปกติ ถ้าคนใกล้ตัวรู้สึกเหงา - ผู้ชายเหงาน้อยกว่าผู้หญิง แต่เหงาแล้วอันตรายมากกว่า! - เมื่อไหร่ที่รู้สึกเหงา รู้ไว้เลยว่าคือสัญญาณเตือนว่า "ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว" น้องๆ ชาว Dek-D ใครบ้างไม่เคยเหงา.? พี่กวางว่าไม่น่าจะมีนะคะ หรือถ้ามีก็ถือว่าเป็นคนที่โชคดีมากๆ เพราะต่อให้เพื่อนเยอะ เรียนหนัก ชีวิตวุ่นๆ แค่ไหน ไม่รู้ทำไม ความเหงาก็ยังแอบเข้ามาทักทายเราได้ทุกครั้งไป (ใครเป็นบ้าง?) จากผลการศึกษาพบว่าโลกเรามีคนเหงามากขึ้นทุกปี และมนุษย์เรายังมีเพื่อนที่ไว้ใจได้น้อยลงเรื่อยๆ ที่น่าทึ่งสุดๆ ไปเลยก็คือ ความเหงานี้ไม่ได้โจมตีเฉพาะวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่เท่านั้นนะ แต่แม้กระทั่งเด็กอนุบาลหรือนักเรียนชั้น ป.1 ยังพบว่ารู้สึกเหงาได้ไม่แพ้วัยรุ่นอย่างเราเลย แล้วน้องๆ เคยสังเกตไหม.? ว่าเวลารู้สึกเหงา โลกจะกลายเป็นสีเทาๆ คล้ายคนรอบข้างเหงาไปพร้อมเราด้วย เรื่องนี้บอกเลยว่าน้องๆ อาจไม่ได้คิดไปเองค่ะ เพราะมีผลวิจัยที่บอกมาแล้วว่า ที่จริงความเหงาสามารถแพร่กระจายสู่คนรอบข้างได้ คล้ายโรคติดต่อเลยทีเดียว @@@@@@ เพราะจากผลวิจัยหัวข้อ Alone in the crowd: The structure and spread of loneliness in a large social network ยืนยันว่า ความเหงาสามารถแพร่กระจายไปสู่คนรอบข้างได้คล้ายเชื้อหวัด ต่างกันตรงที่เชื้อความเหงาไม่ได้แพร่กระจายด้วยวิธีจามใส่กัน หรือกินน้ำแก้วเดียวกัน แต่แพร่กระจายผ่านพลังงานแง่ลบที่เราส่งต่อให้คนรอบตัวต่างหาก... แน่นอนว่าผลวิจัยนี้ไม่ได้ติ๊ต่างขึ้นมาเล่นๆ แต่ใช้เวลานานถึง 10 ปีในการศึกษาผ่านกลุ่มตัวอย่างกว่า 5,000 คนที่มีปัญหาด้านความเหงาจากการทำแบบทดสอบ Loneliness Questionnaire รวมถึงมีประวัติการรักษาอย่างสม่ำเสมอ พบว่าเมื่อศึกษาไปถึงคนรอบๆ ตัวของพวกเขาทั้งเพื่อนและญาติ ได้ผลลัพธ์ดังนี้ - ผู้คน 52% จะรู้สึกเหงากว่าปกติ ถ้าคนใกล้ตัวรู้สึกเหงา - ผู้หญิงเหงามากกว่าผู้ชาย - ความเหงาแพร่กระจายในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย - ความเหงาแพร่กระจายในหมู่เพื่อนฝูง มากกว่าครอบครัว (https://image.dek-d.com/contentimg/2019/kwang/TeenTrends/TopHitStory/lonely/01.jpg) ภาพจาก pixabay.com รวมถึงยังมีผลวิจัยอีกมากมายที่บอกว่า ความเหงาก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพ ทั้งทำลายสมอง รบกวนระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงยังทำให้เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าอีกต่างหาก ที่สำคัญมีการค้นพบเพิ่มเติมอีกด้วยว่า คนเหงามีแนวโน้มจะดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น และออกกำลังกายน้อยลงกว่าคนปกติ เพราะคนเหงามักติดกินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ รวมถึงนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ทำให้เพลียในเวลากลางวัน และทำให้หน้าแก่ไว ที่น่าสนใจคือ แม้ผลการวิจัยจะบอกว่าผู้หญิงเหงามากกว่าผู้ชาย แต่รู้หรือไม่ว่า ถ้าผู้ชายเหงา จะอันตรายถึงชีวิตได้มากกว่าผู้หญิงหลายเท่า! เพราะธรรมชาติของผู้ชายนั้นแสดงออกน้อยกว่า จึงมักเก็บความเหงาไว้คนเดียวในใจ ทำให้ฟื้นตัวจากความเหงาได้ยาก และยังมีความเครียดที่มาก การศึกษาจึงพบว่า ผู้ชายหลายคนรู้สึกเหงาแต่เลือกจะเก็บไว้โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร ทำให้เมื่อรู้ตัวอีกที ก็เกิดความเสียหายต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรงซะแล้ว (https://image.dek-d.com/contentimg/2019/kwang/TeenTrends/TopHitStory/lonely/03.jpg) ภาพจาก pixabay.com อื้อหือ ถ้าความเหงามันร้ายขนาดนี้ เราจะรับมือยังไงดีล่ะ! พี่กวางก็บอกเลยว่าจริงๆ แล้วเราสามารถรับมือกับความเหงาได้ง่ายๆ ไม่ยากเลยค่ะ 1. จำไว้เสมอนะคะ ว่าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหงา เป็นสัญญาณเตือนว่าเราต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นสถานที่, กิจกรรม, สังคม หรือผู้คนรอบข้างค่ะ 2. ทำความเข้าใจว่าความเหงาส่งผลกระทบอะไรกับตัวเราบ้าง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ 3. ออกไปบำเพ็ญประโยชน์ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ และได้มีสังคมใหม่ๆ 4. พัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่ดีต่อใจเรา อาจจะเป็นเพื่อนที่ชอบสิ่งเดียวกัน หรือคิดอะไรคล้ายๆ กันก็ได้ 5. "มองโลกในแง่ดี" สำคัญมาก เพราะว่าคนเหงาส่วนใหญ่มักคาดหวังอะไรในแง่ร้าย จึงควรฝึกจิตให้คาดหวังสิ่งดีๆ มองโลกในแง่ดีไว้ค่ะ @@@@@@ ทีนี้เชื่อพี่กวางรึยังคะ ว่า “ความเหงา” เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่ร้ายกาจกว่าที่คิด แต่เราสามารถจัดการมันได้! ดังนั้นใครที่กำลังรู้สึกเหงา อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกนั้นนาน ลองหากิจกรรมทำ หรือพูดคุยกับใครสักคนที่เรารู้สึกไว้ใจและสบายใจ หรือน้องๆ ชาว Dek-D คนไหนมีเคล็ดลับอะไรแก้เหงาบ้าง แนะนำเพื่อนๆ ไว้ได้เลยค่ะ ที่มา : (1) https://www.verywellmind.com/ (https://www.verywellmind.com/) , (2) https://www.verywellmind.com/ (https://www.verywellmind.com/) , https://www.cam.ac.uk/ (https://www.cam.ac.uk/) ขอบคุณ : https://www.dek-d.com/article/52937 (https://www.dek-d.com/article/52937) By พี่กวาง Columnist |