หัวข้อ: วันปรินิพพานของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศทางปัญญา เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 12, 2019, 06:45:53 am (https://i0.wp.com/goodlifeupdate.com/app/uploads/2018/11/%E0%B8%9B%E0%B8%81-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3.jpg?w=770) วันปรินิพพานของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศทางปัญญา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 นอกจากเป็นวันลอยกระทงที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว ยังเป็น วันปรินิพพานของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศทางปัญญา ที่หาใครเสมอเหมือนมิได้ ในอรรถกถากล่าวว่า พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพานในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 @@@@@@ ทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน เมื่อพระสารีบุตรทราบว่าในอีก 7 วันข้างนอกท่านจะดับขันธปรินิพพาน จึงนึกถึงมารดาบังเกิดเกล้า มารดาของท่านมีบุตรทั้งหมด 7 คน ล้วนบรรลุอรหัตตผล เว้นแต่มารดาผู้ให้กำเนิดเท่านั้นที่ยังไม่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงไม่ได้เป็นอริยบุคคล พระสารีบุตรตรวจดูอุปนิสัยของมารดา เห็นว่าสามารถบรรลุได้อย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบัน ท่านจึงเข้าเฝ้าทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อกลับไปโปรดมารดาและเข้าพระนิพพาน ณ บ้านนาฬกะ แคว้นมคธ พระสารีบุตรทูลขอขมาพระพุทธเจ้าหากเคยล่วงเกินพระองค์มาทั้งทางกายและวาจา พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เห็นพระสารีบุตรจะล่วงเกินพระองค์ไม่ว่าจะเป็นทางกาย หรือวาจาเลย จึงประทานอนุญาตให้กลับไปดับขันธ์ที่บ้านเกิด พระสารีบุตรมีพระภิกษุรูปอื่นติดตามไปด้วย 500 รูป ด้วยบ้านนาฬกะ อยู่ไกลจากพระเชตวันมาก ต้องใช้เวลาเดินทาง เกือบ 7 วันจึงจะถึง ระหว่างทางพระสารีบุตรก็สงเคราะห์มนุษย์ที่พบระหว่างทางจนกระทั่งถึงบ้านเกิด @@@@@@ เทวดาเฝ้าอาการอาพาธของพระสารีบุตร เมื่อมารดาเห็นพระสารีบุตรกลับมาบ้าน ก็คิดประหลาดใจว่าพระลูกชายบวชเรียนมานานหลายพรรษา (44 พรรษา) จะมาสึกเอาตอนแก่ละกระมังถึงกลับมาบ้าน มารดาจัดห้องให้พระสารีบุตรพักเป็นห้องที่เคยทำคลอดพระสารีบุตร รวมทั้งจัดที่พักให้พระภิกษุอีก 500 รูปที่ติดตามมาด้วย พระสารีบุตรเกิดอาพาธถ่ายเป็นเลือด พระภิกษุที่ติดตามมาต้องเปลี่ยนภาชนะถ่ายมูตรทิ้งตลอดเวลา มารดาไม่สบายใจเมื่อเห็นอาการป่วยของพระลูกชาย ในค่ำคืนนั้นท้าวจตุโลกบาล ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) และท้าวมหาพรหม มาเฝ้าพระสารีบุตรถึงในห้อง มารดาสงสัยจึงถามพระสารีบุตรว่า “ลูกแม่ เจ้าใหญ่กว่าจอมเทพทั้ง 4 ท้าวสักกะจอมสวรรค์ และท้าวมหาพรหมที่แม่นับถืออีกหรือ” “หาไม่เช่นนั้นหรอกท่านแม่ ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าจอมเทพเหล่านั้นคือพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศาสดาของลูกเอง ท้าวจตุโลกบาล เป็นผู้คอยพิทักษ์พระพุทธเจ้าตั้งแต่พระองค์ประสูติ ท้าวสักกะเทวราช เป็นผู้คอยรับใช้พระพุทธเจ้า ตอนพระองค์เสด็จลงจากเทวโลกหลังจากโปรดพระพุทธมารดา ท้าวสักกะเทวราชคอยถือบาตรและเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ให้พระพุทธเจ้า ส่วนท้าวมหาพรหม เป็นผู้นำตาข่ายเงินมารองรับพระองค์ไว้หลังจากประสูติ” @@@@@@ มารดาของพระสารีบุตรได้ยินดังนั้นก็เกิดจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า “แม้บุตรชายเรามีอานุภาพจนกระทั่งจอมเทพและมหาเทพยังเคารพถึงเพียงนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาของบุตรชายยังมีอานุภาพยิ่งกว่า” จากนั้นมารดาบังเกิดปีติ 5 ได้แก่ 1. ขุททกาปีติ หมายถึง ปีติเล็กน้อย พอขนชูชันน้ำตาไหล หลั่งสารทางเพศ 2. ขณิกาปีติ หมายถึง ปีติชั่วขณะ ทำให้รู้สึกแปลบ ๆ เป็นขณะ ๆ ดุจฟ้าแลบ เสียวซ่านถึงรูขุมขน 3. โอกกันติกาปีติ หมายถึง ปีติเป็นระลอก หรือปีติเป็นพัก ๆ ทำให้รู้สึกซู่ลงมา ๆ ในกายดุจคลื่นซัดต้องฝั่ง 4. อุพเพคาปีติ หรือ อุพเพงคาปีติ หมายถึง ปีติโลดลอย เป็นอย่างแรง ให้รู้สึกใจฟู แสดงอาการหรือทำการบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจ เช่น เปล่งอุทาน เป็นต้น หรือให้รู้สึกตัวเบา เหมือนลอยขึ้นไปในอากาศ 5. ผรณาปีติ หมายถึง ปีติซาบซ่าน ให้รู้สึกเย็นซ่านเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ ปีติที่ประกอบกับสมาธิ ท่านมุ่งเอาข้อนี้ @@@@@@ พระสารีบุตรโปรดมารดา พระสารีบุตรจึงเทศนาเรื่องพุทธประวัติ ตั้งแต่ตอนประสูติถึงตอนประกาศพระธรรม ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และเรื่องพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างพิสดาร มารดารับฟังจนจบก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตรทำหน้าที่ของบุตรให้บุพการีได้เป็นพระโสดาบัน เกิดอีก 7 ชาติก็จะบรรลุอรหัตตผล จากนั้นพระสารีบุตรเข้าพระนิพพาน มารดาเห็นพระสารีบุตรนอนนิ่ง จึงเข้าไปดูอาการและทราบว่าบพระลูกชายสิ้นลมแล้ว นางจึงครวญด้วยความเสียใจว่า ไม่เคยรู้คุณของบุตรผู้บรรลุอรหัตตผล ไม่รู้คุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว จึงขอเข้าถึงพระรัตนตรัยตลอดไป ที่มา : วันพุทธ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ไม่มีในปฏิทิน https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/124818.html#cxrecs_s |