สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 31, 2019, 08:46:13 am



หัวข้อ: เล่าเรื่องเมือง..ลับแลง หลง ลับ แล เลือน
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 31, 2019, 08:46:13 am
(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w700/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvcnRodHlqLmpwZw==.jpg)


เล่าเรื่องเมือง...ลับแลง หลง ลับ แล เลือน

เมื่อพูดถึงเมืองลับแล อุตรดิตถ์ แล้วแฟนจ๋านึกถึงอะไร?

“ความลึกลับ… ตำนานเมืองแม่ม่าย… เมืองห้ามพูดโกหก… แล้วก็ทุเรียนหลงลับแล” นวลเชื่อว่าทุกคนก็คงจะตอบคล้ายกันอย่างนี้...

แต่เชื่อไหมครับ...ถ้าถามคนลับแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านลับแลงจริงๆนี่ เป็นคนละเรื่องเลยนะ...ข้อเท็จจริงที่เด่นชัดคือชาติพันธุ์ของชาวลับแลส่วนใหญ่เป็นชาวไท-ยวนที่อพยพมาจากล้านนา ลับแลงคือเมืองที่มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง เป็นเมืองที่มีตัวตน ไม่ได้เกิดจากตำนานเล่าขาน...

วันนี้นวลจะพาแฟนจ๋าไปรู้จักลับแลง หรือลับแล เมืองที่มากล้นไปด้วยมนต์ขลัง ความลับที่แท้จริงของวิถีชีวิตและความเป็นมาของชาวลับแล ผ่านประวัติศาสตร์ที่กำลังเลือนหายไป

พาไปชมความเป็นมาในความเป็น ไทย-ยวน ลับแล เรือนไม้ไทยวน ผ้าซิ่นตีนจก อาหารพื้นบ้านที่เป็นอัตลักษณ์ของชาวลับแล ที่ขาดไม่ได้คือพาฝ่าไอหมอกขึ้นดอยไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวสวนผลไม้ สวนทุเรียนหลง-หลินลับแล ที่มีรสชาติแสนอร่อย การใช้ชีวิตแอบอิงกับธรรมชาติที่เป็นเสน่ห์ของชาวลับแล ที่รับรองว่าแฟนจ๋าจะต้องหลงรักลับแลแน่นอนครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA2MTcuanBn.jpg)

เมื่อพูดถึงเมืองลับแล อุตรดิตถ์ แล้วแฟนจ๋านึกถึงอะไร?

“ความลึกลับ… ตำนานเมืองแม่ม่าย… เมืองห้ามพูดโกหก… แล้วก็ทุเรียนหลงลับแล”

นวลเชื่อว่าทุกคนก็คงจะตอบคล้ายกันอย่างนี้...

แต่เชื่อไหมครับ...ถ้าถามคนลับแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านลับแลงจริงๆนี่ เป็นคนละเรื่องเลยนะ...ข้อเท็จจริงที่เด่นชัดว่าชาติพันธุ์ของชาวลับแลส่วนใหญ่เป็นชาวไท-ยวนที่อพยพมาจากล้านนา ลับแลงคือเมืองที่มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง เป็นเมืองที่มีตัวตน ไม่ได้เกิดจากตำนานแต่อย่างใด...

มาๆนวลจะเล่าให้ฟังครับ...

ราวปี พ.ศ. 2507 เมื่อคราวบูรณะแท่นพระเจ้ายอดคำทิพย์ พระครูธรรมเนตรโสภน อดีตเจ้าอาวาสวัดท้องลับแล พบคัมภีร์ใบลานซุกอยู่ในโพรงใต้ฐานพระ ท่านเห็นว่าเป็นเอกสารสำคัญจึงเอามาแปลจากอักษรธรรมล้านนาเป็นอักษรไทยใส่ลงสมุด ในเอกสารว่าด้วยตำนานการสร้างพระพุทธรูปพระเจ้ายอดคำทิพย์ ตำนานได้อ้างอิงที่มาของเมืองลับแลไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้ายี่กุมกาม เจ้าเมืองเชียงราย (ในเอกสารเขียน เจ้ายี่ความแก้ววงเมือง) ได้ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าไสลือไทแห่งกรุงสุโขทัย เพื่อยกทัพไปตีเชียงใหม่ของพระญาสามฝั่งแกนผู้เป็นพระอนุชา แต่ไม่สำเร็จ เจ้ายี่กุมกามจึงได้เทครัวหรือกวาดต้อนชาวเมืองเชียงราย ติดตามกองทัพสุโขทัยลงมาตั้งรกรากอยู่ที่เวียงสระหนองหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองลับแลในปัจจุบัน

อีกทั้งยังอ้างอิงถึงอีกเหตุการณ์ คือพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 ของราชวงศ์มังราย ยกทัพจากเชียงใหม่เพื่อขับไล่กองทัพอยุธยาของพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ โดยกองทัพของพระเจ้าติโลกราชก็ได้มาพักพลที่เมืองแห่งนี้ และพบว่าผู้คนถิ่นนี้เป็นชาวไท-ยวนอยู่แล้ว หลังจากพระองค์สามารถขับไล่กองทัพอยุธยาออกไปแล้ว ก็ได้สถาปนาเวียงสระหนองหลวงเป็นเมืองลับแลงไชย และราชาภิเษกขึ้นเป็น "พระเจ้าติโลกมหาราชาฟ้าฮ่าม" ปฐมกษัตริย์แห่งลับแลงไชย คำว่า ‘ฟ้าฮ่าม’ มาจากเมื่อครั้งที่พระเจ้าติโลกราชเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ แล้วพบท้องฟ้ามีแสงสีแดงอร่าม (ฮ่าม) ในยามเย็น (แลง) ใกล้จะลับขอบฟ้าไป และนี่คือที่มาของคำว่า "ลับแลง"


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDAyOTguanBn.jpg)

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ที่ตำนานท้องถิ่นถูกผูกเข้าไว้กับประวัติศาสตร์ของผู้คน เรารู้ตัวกันอีกที อนุสาวรีย์แม่ม่ายและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘เขตห้ามพูดโกหก’ ก็ถูกสร้างอยู่ข้างซุ้มประตูทางเข้าอำเภอลับแลเรียบร้อยแล้ว...

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDAyMzkuanBn.jpg)

นวลเองต้องขอชี้แจงก่อนว่า ทำไมต้องใช้คำว่า ‘ลับแลง’ ไม่ใช่ ‘ลับแล’ แม้คำว่าลับแลจะเป็นชื่อที่เป็นทางการของอำเภอนี้ก็ตาม...

คำว่า ‘ลับแล’ ซึ่งเป็นชื่ออันเป็นที่มาของตำนานหมู่บ้านลึกลับ(แล) ของพื้นที่นี้ น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า ‘ลับแลง’ ซึ่งคำหลังเป็นคำพื้นเมือง ที่มีที่มาจากลักษณะทางภูมิประเทศของเมืองที่รายล้อมด้วยภูเขา เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา เมืองแห่งนี้จะถูกกลืนหายลับเข้าไปในเงามืดของยามแลงอย่างรวดเร็ว ลับแลงเป็นถิ่นกำเนิดของผืนป่าที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งปลูกทุเรียนและผลไม้ สร้างรายได้หลักของชาวชุมชนมาหลายต่อหลายรุ่น


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDAyMzIuanBn.jpg)

วิถีชีวิตของชาวลับแล ทุกวันนี้ยังคงหลงเหลือเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไท-ยวนอย่างชัดเจนทั้ง ภาษาพูด ผ้าซิ่นตีนจก การแต่งกาย วัดวาอาราม โบราณวัตถุ และโบราณสถาน

"กาด" หรือ "ตลาด" จะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางวัฒนธรรมที่จะยังคงหลงเหลือให้เราได้เข้ามาสัมผัสกับ นวลแวะที่ตลาดศรีนพมาศครับ

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDAyNTIuanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDAyNDQuanBn.jpg)

สิ่งแรกที่ยืนยันเลยคือการพูด "คำเมือง" หรือภาษาถิ่นภาคเหนือ ต้องบอกก่อนว่านวลเองก็เป็นคนเหนือ เป็นคนเชียงราย ซึ่งนวลสามารถใช้คำเมืองสื่อสารกับคนลับแลได้เลย เหมือนได้กลับบ้านอีกครั้ง ไม่ต้องพยายามพูดไทยให้มันปะแหล๊ดเลย

อาหารคาวหวานพื้นถิ่น ของกิ๋นบ้านเฮามีมากมาย เลือกเอาเตอะนาย ยิ่งเห็นกองผักปั๋งละกึดเติงหาอุ้ย ตอนละอ่อนนวลชอบแกงผักปั๋งใส่จิ้นส้มของอุ้ยที่สุดเลย

ปัจจุบันชาวไทยวนในอำเภอลับแลส่วนใหญ่อยู่ในเขตตอนเหนือของอำเภอ และที่ตั้งตัวอำเภอ

ส่วนเขตทางใต้ของอำเภอลับแล ทางฝั่งทุ่งยั้งยังคงเป็นชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณอยู่

ดังนั้นชาวลับแลจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ทั้ง 2 วัฒนธรรม คือชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ และชุมชนภาษาถิ่นล้านนา มีภาษาพูด ภาษาเขียน การแต่งกาย อาหารการกิน เป็นแบบล้านนา


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA0MDguanBn.jpg)

ประวัติศาสตร์อันยาวนานและสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมของคนไทยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นหรือเกิดมาจากวัด

เรามาเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของเมืองลับแลง ที่วัดบรมธาตุทุ่งยั้งกันครับ

วัดบรมธาตุทุ่งยั้งผูกพันธ์ยังไงกับลับแล...

หากสังเกตจะพบว่า วิหารในวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งเป็นศิลปะยุคอยุธยาที่ปนกับลักษณะวิหารแบบล้านนา ซึ่งปนกันได้สัดส่วนจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งกว่าจะเป็นวิหารหลวงแบบที่เราเห็นในปัจจุบันนั้น ได้มีการบูรณะหลายต่อหลายครั้ง

วิหารหลวงเป็นวิหารขนาด 5 ห้อง หลังคามุมกระเบื้อง 3 ชั้น ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ไม้แกะสลักที่หน้าบันติดกระจก ลงรักปิดทอง มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัยบนฐานชุกชีศิลปะล้านนา ชาวบ้านนิยมเรียกชื่อหลวงพ่อหลักเมืองว่าหลวงพ่อประธานเฒ่า เพดานวิหารหลวงเขียนสี ผนังของวิหารหลวงเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามแต่ปัจจุบันลบเลือนไป เป็นเรื่องพุทธประวัติตอนมารผจญ และเรื่องสังข์ทองครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA0MTEuanBn.jpg)

พระบรมธาตุทุ่งยั้ง เป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบลังกาลักษณะฐานขียงซ้อนกัน 3 ชั้นลดหลั่นกันไป ชั้นล่างก่อด้วยศิลาแลง ทั้ง 4 มุมมีเจดีย์ขนาดเล็กทรงระฆังอยู่ตรงกลาง เรือนธาตุของเจดีย์ทั้ง 4 ด้านประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนอยู่ภายในซุ้มจรนำ

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA1OTguanBn.jpg)

มาต่อกันที่วิหารวัดดอนสักครับ สำหรับวิหารวัดดอนสักนั้นเป็นสถาปัตยกรรมเชียงแสนปนสุโขทัย ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย

สิ่งที่น่าสนใจ คือ บานประตูวิหาร ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ตัวเสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู บานประตูเป็นไม้แกะสลักทั้งบาน รูปลายกนกก้านขด มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายกนกต่าง ๆ มีความอ่อนช้อยสวยงาม

โดยบานซ้ายและขวานั้นไม่เหมือนกัน แต่เมื่อปิดบานแล้วลวดลายมีความลงตัวเข้ากันได้สนิท เป็นคู่บานประตูไม้จำหลักโบราณสมัยอยุธยาที่มีความสวยงามคู่หนึ่งเลยละครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA2NDEuanBn.jpg)

เอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่อ้างอิงถึงชื่อเมืองลับแลกลับอยู่ใน ‘คู่มือตอบคำถามสำหรับฑูต’ ที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรียังประเทศฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ โดยในเอกสารได้ระบุว่า เมืองลับแลเป็นเมืองรองเมืองหนึ่งในแคว้นพิชัย

แม้จะพบหลักฐานถึงการอ้างอิง ‘การมีอยู่’ ของผู้คนลับแล แต่ก็ยังไม่สามารถระบุ ‘ที่มา’ คนลับแลว่ามาจากไหนและมาได้อย่างไร...

กระทั่งล่าสุดเมื่อต้นปี 61 ได้มีการการขนย้ายคัมภีร์ใบลานและปั๊บสาที่ถูกทิ้งร้างอยู่ภายในโบสถ์กลางน้ำของวัดท้องลับแลแห่งนี้ออกมา และชักชวนศูนย์เอกสารเอกสารโบราณ มูลนิธิสืบสานล้านนา โดยพ่อครูมาลา คำจันทร์ ลงพื้นที่เพื่อสืบค้นคัมภีร์โบราณเหล่านี้ หนึ่งในเอกสารที่ค้นนั้นก็เผยข้อมูลที่ช่วย ‘จุดประกาย’ ที่มาของคนลับแลไปพร้อมกับมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของเมืองเล็กๆ เมืองนี้


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA2MzYuanBn.jpg)

“เราพบสมุดฝรั่ง (สมุดที่ใช้กันในปัจจุบัน) ที่มีการคัดลอกและแปล (จากตัวอักษรล้านนาเป็นตัวอักษรไทย) มาจากคัมภีร์โบราณอีกที สมุดนั้นบันทึกเนื้อหาของ ‘ตำนานพระเจ้ายอดคำทิพย์’ ระบุประวัติการสร้างพระพุทธรูปในวัดท้องลับแล ต้นฉบับเขียนโดยพระสุวรรณปัญญาญาณ เมื่อ พ.ศ. 2128 โดยในคำนำที่พระครูธรรมเนตรโสภณเขียนไว้ระบุว่าท่านพบต้นฉบับใบลานนี้เมื่อคราวบูรณะแท่นพระเจ้ายอดคำทิพย์ ราวปี พ.ศ. 2507 ใบลานซุกอยู่ในโพรงใต้ฐานพระ ท่านเห็นว่าเป็นเอกสารสำคัญจึงเอามาแปลจากอักษรธรรมล้านนาเป็นอักษรไทยใส่ลงสมุด ซึ่งรูปแบบของการเขียนบันทึกของคนโบราณนั้น เขาจะเขียนบันทึกพื้นเพของยุคสมัยด้วย และหนังสือเล่มนี้ก็ได้ระบุถึงการสร้างเมืองลับแล ซึ่งเมื่อเทียบปีพุทธศักราชและจุลศักราชกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็สามารถยืนยันว่าความเชื่อถือได้” พ่อครูมาลา กล่าวให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Spark U LANNA

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzMxOTUuanBn.jpg)

นวลขอยกมาเล่าให้ฟังคร่าวๆดังนี้นะครับ

ราวปี พ.ศ. 2507 เมื่อคราวบูรณะแท่นพระเจ้ายอดคำทิพย์ พระครูธรรมเนตรโสภน อดีตเจ้าอาวาสวัดท้องลับแลแห่งนี้ พบคัมภีร์ใบลานซุกอยู่ในโพรงใต้ฐานพระ ท่านเห็นว่าเป็นเอกสารสำคัญจึงเอามาแปลจากอักษรธรรมล้านนาเป็นอักษรไทยใส่ลงสมุด ในเอกสารว่าด้วยตำนานการสร้างพระพุทธรูปพระเจ้ายอดคำทิพย์

ตำนานได้อ้างอิงที่มาของเมืองลับแลไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้ายี่กุมกาม เจ้าเมืองเชียงราย (ในเอกสารเขียน เจ้ายี่ความแก้ววงเมือง) ได้ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าไสลือไทแห่งกรุงสุโขทัย เพื่อยกทัพไปตีเชียงใหม่ของพระญาสามฝั่งแกนผู้เป็นพระอนุชา แต่ไม่สำเร็จ เจ้ายี่กุมกามจึงได้เทครัวหรือกวาดต้อนชาวเมืองเชียงราย ติดตามกองทัพสุโขทัยลงมาตั้งรกรากอยู่ที่เวียงสระหนองหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองลับแลในปัจจุบัน

อีกทั้งยังอ้างอิงถึงอีกเหตุการณ์ คือพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 ของราชวงศ์มังราย ยกทัพจากเชียงใหม่เพื่อขับไล่กองทัพอยุธยาของพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ โดยกองทัพของพระเจ้าติโลกราชก็ได้มาพักพลที่เมืองแห่งนี้ และพบว่าผู้คนถิ่นนี้เป็นชาวไท-ยวนอยู่แล้ว หลังจากพระองค์สามารถขับไล่กองทัพอยุธยาออกไปแล้ว ก็ได้สถาปนาเวียงสระหนองหลวงเป็นเมืองลับแลงไชย และราชาภิเษกขึ้นเป็น "พระเจ้าติโลกมหาราชาฟ้าฮ่าม" ปฐมกษัตริย์แห่งลับแลงไชย คำว่า ‘ฟ้าฮ่าม’ มาจากเมื่อครั้งที่พระเจ้าติโลกราชเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ แล้วพบท้องฟ้ามีแสงสีแดงอร่าม (ฮ่าม) ในยามเย็น (แลง) ใกล้จะลับขอบฟ้าไป และนี่คือที่มาของคำว่า "ลับแลง"


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA2NjIuanBn.jpg)

เราไปกันต่อที่พิพิธภัณฑ์เรือนลับแลงโบราณ เลอ ลับแลง บ้านของดาบฟ้า ไชยลับแลง ผู้ที่ร่วมกับชุมชนจัดตั้งกลุ่มฟื้นฟูอัตลักษณ์ไท-ยวนลับแลงขึ้น

พิพิธภัณฑ์เรือนลับแลโบราณ ‘เลอลับแลง’ เป็นบ้านไม้โบราณ ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนไท-ยวนลับแลง สมัยก่อน อนุรักษ์ไว้โดยพี่ดาบฟ้า ซึ่งก็คือเจ้าของคนปัจจุบัน ได้ทำการซื้อเรือนมาจากทายาทของพญาสิงห์แก้ว แล้วย้ายมาปลูกสร้างให้ได้ใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด เพื่อต้องการรือฟื้นอัตลักษณ์ไทยวนลับแลง

ประกอบด้วยเรือนสองหลัง คือ เรือนสิงห์แก้ว และเรือนเปง-จัน สำหรับเรือนสิงห์แก้ว เป็นเรือนไม้กาแลแบบลับแลงดั้งเดิม ที่นิยมกันในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แบ่งพื้นที่ใช้สอยอออกเป็น ชานแดด เรือนนอน เรือนข้าว ครัวไฟ หอลม และชานน้ำ

เรือเปง-จัน เป็นเรือนสรไนแบบลับแลงโบราณ แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 5 ส่วน ชานแดด เรือนนอนหลัก เรือนนอนรอง หอลม และชานน้ำครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA2OTUuanBn.jpg)

การทอผ้าซิ่นตีนจกของชาวลับแล มีมานานพร้อมกับการตั้งถิ่นฐานของชาวเมืองลับแล การทอผ้าซิ่นตีนจกนั้นผู้หญิงชาวลับแลจะได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการถ่ายทอดมรดกทางภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของการทอผ้าซิ่นตีนจกไว้

พิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก ไท-ยวน ลับแลแห่งนี้ เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าตีนจกไท-ยวนสู่คนรุ่นหลัง ซึ่งเกิดขึ้นจาก "ครูโจ" ลูกหลานชาวไทยวนเมืองลับแล


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzMyMzguanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzMyOTIuanBn.jpg)

ครูโจเล่าว่า เกิดในครอบครัวไท-ยวนแห่งเมืองเชียงแสน ที่ผู้หญิงทุกคนทอผ้าสืบต่อกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น แต่ด้วยตนเป็นผู้ชาย จึงถูกกันให้ออกห่าง แต่ด้วยความรักในความงดงามของลายผ้า เขาจึงอาสาช่วยแม่ย้อมไหมและเห็นแม่ทอผ้าบ่อยๆ เมื่อมีโอกาสและเงินเล็กน้อยครูโจก็มักเลือกซื้อผ้าเก่ามาเก็บไว้มากกว่าการใช้เงินจับจ่ายเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป

ในปี พ.ศ. 2545 ครูโจได้รวมกลุ่มทอผ้าบ้านคุ้มและบ้านนาทะเลขึ้น โดยตนเป็นผู้เลือกสีสันของเส้นไหมให้มีความหลากหลาย เน้นวัตถุดิบที่ดี ทั้งเส้นไหมและการย้อมสีเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น ส่งต่อให้ช่างทอผู้มีฝีมือและจินตนาการได้แต่งแต้มความงดงามให้ผืนผ้าไหม โดยยังยึดถือลวดลายตีนจกและวิธีการทอตามแบบโบราณไว้อย่างไม่ตกหล่น ด้วยการใช้ขนเม่นในการจก รวมถึงเรื่องเล็กๆ อย่างการต่อซิ่นด้วยเอวแดงขาว และ ‘หมายซิ่น’ หรือตำแหน่งของรอยต่อผ้าทอที่จะต้องไม่ต่อลายให้ชนกัน ด้วยคนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าอาจมีการทำคุณไสยได้

การทอผ้าซิ่นตีนจกของสาวลับแลเป็นการสืบทอดภูมิปัญญา สอดแทรกคติความเชื่อ พิธีกรรม และธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ด้วยจินตนาการของคนในอดีต ออกมาเป็นลายเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ลายนกคุ้ม ลายแปดขอ ลายหงส์ใหญ่ ลายนาค ลายเก็ดถะหวา (ดอกพุดซ้อน)

ใต้ถุนบ้านเป็นที่ตั้งของกี่ทอผ้า ซึ่งมีเอกลักษณ์ด้วยเป็นผืนผ้าชิ้นไม่กว้างนัก แสดงให้เห็นถึงความมานะพยายามของผู้จกเส้นไหมแต่ละเส้นแต่สีได้อย่างดงามโดยไม่มี ‘ตะกอ’ ตะกอ หรือเขาหูก คือเชือกที่ใช้ร้อยคล้องไหมยืน เพื่อแบ่งเส้นไหมเป็นหมวดหมู่ตามที่ต้องการ เมื่อยกตะกอขึ้น ก็จะดึงเส้นไหมยืนเปิดเป็นช่อง สามารถพุ่งกระสวยเข้าไปให้เส้นไหมพุ่งสานขัดกับเส้นไหมยืนได้ ทำให้การทอได้ลายตามที่ตั้งตะกอไว้ แต่ที่นี่กลับไม่ใช้ตะกอ ผู้ทอจึงต้องจำลายได้อย่างแม่นยำ ต้องใช้ฝีมือและความชำนาญอย่างสูงในการทอ สมกับที่ครูโจบอกว่าเขาไม่ได้ขายเพียงผ้าเท่านั้น แต่ขายจิตวิญญาณและอัตลักษณ์ของความเป็นไท-ยวน และชาวลับแลอย่างแท้จริง

หากสนใจและต้องการเข้าชม ต้องโทร.นัดหมายล่วงหน้าที่ คุณจงจรูญ มะโนคำ (ครูโจ) โทร. 08 7198 7353




หัวข้อ: Re: เล่าเรื่องเมือง..ลับแลง หลง ลับ แล เลือน
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 31, 2019, 09:07:19 am
(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA3NDEuanBn.jpg)

อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก ไท-ยวนลับแล ที่นวลอยากให้มาชมคือ ม่อนลับแล ที่นี่มีทั้งผ้าทอพื้นเมือง ผ้าซื่นตีนจก จากฝืมือการทออย่างปราณีตงดงามของชาวลับแล ใครที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองหายาก หรือกำลังมองหาของฝากให้ญาติผู้ใหญ่ มีหลายสีสันให้เลือก รวมไปถึงเสื้อผ้าพื้นเมืองต่างๆ ผ้าพันคอ หรือย่ามสะพายก็มีนะครับ

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA3NDAuanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA3NTEuanBn.jpg)

“ม่อนลับแล” เป็นทั้งร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น แม่ตา หรือคุณจิตรา ศิริกาญจนารักษ์ เจ้าของเล่าว่าเดิมที่นี่เป็นบ้านส่วนตัว แต่ด้วยความเป็นคนเมืองลับแลโดยสายเลือด จึงอยากปรับบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นสำหรับแขกผู้มาเยือน พร้อมๆ กับดื่มด่ำรสชาติอาหารพื้นเมืองด้วย

ม่อนลับแลแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันครับ

ส่วนแรกเรียกว่าเรือนทอผ้าลับแล จัดแสดงงานหัตถกรรมขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นตำนานผ้าทอลับแลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม้กวาดลับแลที่ทำจากดอกตองกง การสืบทอดการเขียนตัวอักษรล้านนาโดยผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้าน

ส่วนพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน เก็บรวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ อันบ่งบอกถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรม โดยผลักดันชุมชนให้มาร่วมกันสร้างสรรค์ในวิถีของตัวเอง

ในส่วนของพื้นที่ร้านอาหาร อย่างที่บอกว่า ที่นี่เน้นความเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น เอกลักษณ์ของอาหารจึงไม่เหมือนที่ไหน


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzM1MTkuanBn.jpg)

นอกจากลับแลจะมีความน่าสนใจในเรื่องตามรอยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นฐานของชาวไทยวนแล้ว ลับแลยังมีเอกลักษณ์ในด้านอาหารการกินที่ต่างไปจากที่อื่นๆเช่นกันครับ มาๆนวลจะพาไปกินของอร่อยเมืองลับแลกัน

เฮือนข้าวพันผักหม่อนแก้ว


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA0NzEuanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA0NzIuanBn.jpg)

มาเมืองลับแลต้องลองอาหารท้องถิ่น หนึ่งในอาหารเด่นขึ้นชื่อ คือ ข้าวพันผัก ที่ลับแลมีร้านข้าวพันผักให้เห็นอยู่ทั่วทั้งเมืองอยู่ที่ว่าจะลองทานร้านไหน นวลลองทานที่ เฮือนข้าวพันผักหม่อนแก้ว ร้านข้าวพันผักร้านนี้อยู่ใกล้ๆกับร้านของทอดเจ๊นีย์ครับ เป็นข้าวพันผักเครื่องแน่นแบบต่างๆที่มีให้เลือกเพียบ ทั้ง ข้าวพันผักห่อไข่ บอกเลยรสชาติไม่ธรรมดา อาจทำให้หลงรักการทานข้าวพันผักไปเลยก็ได้นะครับ

เมนูเด่นคงไม่พ้นข้าวพันผักและหมี่พันผักแบบท้องถิ่นดั้งเดิม เช่น ข้าวพันผักธรรมดา ข้าวพันผักห่อไข่ ไข่ม้วน หมี่พัน

ถ้าไม่มาร้านเจ๊นีย์ของทอดลับแล ก็เหมือนมาไม่ถึงลับแลนะครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA1MDcuanBn.jpg)

ร้านนี้เปิดขายมานานกว่า 3o ปีแล้ว มีสารพัดเมนูของทอด ที่คนรักสุขภาพเห็นแล้วอาจลำบากใจนิดนึง 555+ ทั้งกุ้งทอด ผักทอด เต้าหู้ทอด เปาะเปี๊ยะทอด ขนมปังหน้าหมูทอด แต่ๆๆ จะถือว่าผิดถ้าไม่ได้กินเมนูท็อปฮิตของร้าน คือ กระบองทอด หรือ หน่อไม้ทอดยัดไส้หมูสับ ราคาเพียงชิ้นละ 10 บาทเท่านั้นเอง เคล็ดลับความอร่อยนอกจากตัวหน่อไม้แล้ว ยังอยู่ที่น้ำจิ้มถั่ว สูตรพิเศษ มีรสเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ ลำขนาดเน่อ

ป้าหว่างหมี่พันลับแล


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA0NTkuanBn.jpg)

“หมี่พัน” เป็นอาหารพื้นเมืองดั้งเดิมของคนลับแล จะเอาเส้นหมี่ไปปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล มะนาว พริกป่น อาจโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว แคปหมู หรือกากหมู แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำไปวางบนแผ่นข้าวแคบ และม้วนๆ เหมือนโรตีสายไหม การห่อแบบนี้ยังช่วยถนอมอาหารด้วยนะคะ เป็นภูมิปัญญาของคนลับแล

สำหรับคนที่ไม่รู้จักข้าวแคบ ข้าวแคบเป็นอาหารว่างอย่างหนึ่ง โดยการนำเอาแผ่นแป้งไปตากแดด และเอาไปทำให้สุกโดยปิ้งหรือทอด อาจโรยงาเพิ่มความหอมอร่อย

ม่อนลับแล


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA3NDcuanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzMzMzAuanBn.jpg)

ร้านอาหารในอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ตกแต่งสไตล์ชาวล้านนาตามแบบฉบับของเมืองลับแล ท่ามกลางสวนร่มรื่น ภายในร้านตกแต่งเรียบหรู สะดวกสบาย มีมุมให้นั่งเล่นพักผ่อนหลายมุม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในคุ้มของเจ้านางทางเหนือ ภายในร้านมีทั้ง zone ร้านกาแฟและร้านอาหาร รวมทั้งเป็นร้านจำหน่ายของฝากและสินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง ผลไม้ตามฤดูกาล พื้นที่ของร้านแบ่งเป็น 3 โซน คือ บ้านของฝากลับแล ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า ร้านกาแฟลาลีกาซึ่งอยู่ริมถนน และร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุด

เมนูแนะนำก็จะเป็นราชาเขียวหวานกุ้ง ที่นอกจากกุ้งที่ใส่จะตัวใหญ่แล้วยังใส่ทุเรียนลงไปด้วยเพิ่งเคยทานครั้งแรกคือ อร่อยมากตอนแรกนึกว่าจะเลี่ยน แต่ไม่เลย เนื้อทุเรียนที่ใส่กรอบกำลังดี เหมือนกำลังทานยอดมะพร้าวอ่อน น้ำพริกมะขาม และลาบเหนือ รสชาติโดยรวมของอาหารต้องเรียกว่าอร่อยทุกเมนู ปริมาณเยอะแถมราคาไม่แพงมาก เป็นอีกหนึ่งร้านที่ติดดาวให้สำหรับคนที่กำลังมองหาร้านอาหารอร่อย บรรยากาศดีต้องไม่พลาดเลยครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA5NjMuanBn.jpg)

มาถึงลับแล...จะไม่พูดถึงอีกหนึ่งของดีเมืองลับแล อย่างทุเรียนหลงลับแล และทุเรียนหลินลับแลก็ไม่สิครับ แต่ถ้านวลจะพาไปเดินตลาดซื้อทุเรียนมากินเลยมันก็ธรรมดาไป พิเศษใส่ไข่แบบนวลก็ต้องพาบุกไปถึงสวนทุเรียนสิครับถึงจะเรียกว่ามาถึงลับแลแล้ว นวลประสานผ่านพี่นิดและพี่สิงห์เพื่อติดต่อทริปโปรแกรมเรียนรู้วิถีชาวสวนทุเรียนวันเดย์ทริป มาๆนวลจะเล่าให้ฟัง

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzM1MDMuanBn.jpg)

เราเริ่มต้นทริปกันแต่เช้าเลย หากสายๆจะขึ้นลำบากเพราะสวนทางกับรถขนทุเรียนนะ โดยได้มอไชด์คู่ใจของพี่สิงห์พานวลไปยังสวนทุเรียนที่อยู่บนเขาที่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 15กิโลครับ ทางค่อนข้างโหดพอสมควรครับ มีทริปกินทุเรียนชิวๆอยู่นะครับ เดี๋ยวนวลจะแปะรายละเอียดไว้ให้ท้ายริวิวนะครับ

วิถีชีวิตและอาชีพของชาวลับแลส่วนใหญ่ คือ การทำสวนผลไม้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพราะชาวลับแลทำสวนผลไม้ได้ทั้งในที่ราบและบนภูเขา ซึ่งทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อำเภอลับแลมีผลไม้ออกมาให้กินกันตลอดปี ทั้งลองกอง ลางสาด ทุเรียน และมังคุด ชาวลับแลปลูกทุเรียนกันบนภูเขาด้วยการใช้หนังสติ๊กยิงส่งเมล็ดทุเรียนพันธุ์ดีขึ้นไปตกบนภูเขา รอให้เมล็ดเจริญงอกเงย เติบโตตามธรรมชาติ เจ้าของสวนใส่ปุ๋ยบ้างตามวาระ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvc19fMjY2NDAzODguanBn.jpg)

เล่าเรื่องทุเรียนลับแล

ทุเรียนที่ลับแล เป็นทุเรียนป่า มีความแข็งแรง อึด หากินเก่ง ผลผลิตดก แต่การซื้อขายราคาไม่ดี น่าจะนำทุเรียนยอดนิยมแห่งยุค อย่างชะนีและหมอนทองเข้าไปเปลี่ยนยอดให้ การดำเนินการเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะชาวบ้านไม่มีความเข้าใจ หลังเสียบยอดได้ ๔-๕ ปี ทุเรียนหมอนทองจากนนทบุรี ออกมาเป็นหมอนทองลับแล ถึงแม้รสชาติสู้นนทบุรีไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าทุเรียนพื้นเมืองหลายเท่าตัว

เมื่อปี ๒๕๒๐ มีการป่าวประกาศไปทั่วอำเภอลับแลว่า ใครมีทุเรียนดีให้นำมาประกวด ดูๆ ไปก็คล้ายกับประกวดนาวสาวไทย การประกวดครั้งนั้น มีชาวสวนส่งทุเรียนของตนเองเข้าประกวดหลายร้อยตัวอย่างทุเรียนชนะการประกวดครั้งนั้น คือทุเรียนของ นายลม นางหลง อุปละ มีการตั้งชื่อทุเรียนของนายลมและนางหลง ว่า “หลงลับแล”

ทุเรียนหลงลับแล จัดเป็นทุเรียนที่มีเชื้อทุเรียนป่า มีความแข็งแรง ข้อแตกต่างจากทุเรียนทั่วไป อยู่ตรงที่ เนื้อมากสีเหลืองสวย เมล็ดลีบต่อผลสูง ชื่อเดิมอีกชื่อหนึ่งของเขาคือ “อีเหลืองหัวห้วย” เนื้อละเอียด รสชาติหวาน น้ำหนักเฉลี่ย ๑.๕ กิโล กรัมต่อผล ผลทรงกลม

ส่วนทุเรียนหลินลับแล นายหลินได้ปลูกด้วยเมล็ดตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ ผลมีน้ำหนัก ๑-๑.๘ กิโลกรัม ผลทรงกระบอก เนื้อละเอียดมาก สีเหลืองอ่อน เปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบมีมาก


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzM3MDYuanBn.jpg)

ลุงสิงห์เล่าให้ฟังว่า ทุเรียนหลงลับแลและหลินลับแลถูกเรียกว่าเป็น “ทุเรียนเทวดาเลี้ยง” เพราะพื้นที่ของอำเภอลับแลส่วนใหญ่เป็นภูเขา ชาวสวนจึงทำสวนผลไม้ทั้งในที่ราบและบนภูเขา ต้นที่ขึ้นบนภูเขานั้นยากทั้งการเดินทางและการเข้าไปดูแล จึงต้องปล่อยให้เติบโตไปตามธรรมชาติ อาศัยน้ำฝนและสภาพอากาศที่เป็นใจบ้างไม่เป็นใจบ้างช่วยบำรุง มีไฟป่าเกิดจนทำให้ต้นทุเรียนเสียหายบ้าง มีไปใส่ปุ๋ยบ้างตามวาระ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะปล่อยให้เติบโตและออกผลเอง จึงเป็นที่มาของชื่อทุเรียนเทวดาเลี้ยง

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzM3NDkuanBn.jpg)

ทุเรียนลับแล...แยกยังไง

ทุเรียนหลงลับแล และทุเรียนหลินลับแล เป็นทุเรียนกลิ่นอ่อน ลูกเล็ก หนักไม่เกิน 2.5 กิโลกรัม

"หลงลับแล" ลูกกลม เนื้อสีเหลืองทอง เนื้อเนียน รสชาติหวาน เม็ดเล็ก

"หลินลับแล" จะเป็นลูกทรงประบอกแบบมะเฟือง เนื้อเหนียว รสชาติหวานมัน เม็ดเล็กรีบ นะจ๊ะ

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvc19fMjY2NDA0NDUuanBn.jpg)

สำหรับแฟนจ๋าที่สนใจมาทำกิจกรรมแบบนวลสามารถติดต่อ พี่นิด ผู้ประสานงานทริปได้เลยนะครับ
พี่นิด โทร 087-521-2432


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvc19fMjY2NDA0MzAuanBn.jpg)

มันอาจเป็นมื้อเที่ยงที่แสนธรรมดาที่ลุงสิงห์ห่อใส่ย่ามกะเปอะให้นวลไปกินที่สวนด้วย แต่คงอบอวลไปด้วยความสุข ความรู้ และแนวคิดต่างๆ

เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากมาย การสนทนาระหว่าง "เจ้าบ้าน" และ "ผู้มาเยือน" ระหว่างมื้อเที่ยงของเรา ทำให้นวลยิ่งตระหนักถึงการเที่ยวชุมชนที่แท้จริงคือ "เราต้องเคารพ และให้เกียรติในตัวบริบทของชุมชน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนนั้นๆ การเอาตัวเองลงไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน จะทำให้เราได้เรียนรู้วิถีอย่างแท้จริง เราต้องไม่ไปเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา แต่การท่องเที่ยวเป็นเพียงหนึ่งในบทบาทที่เขาได้ถ่ายทอดวิถีให้กับเรา"


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA5NzIuanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzM3MDAuanBn.jpg)

“ตลาดหัวดง” ต.แม่พูล เป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในหน้าทุเรียนเช่นนี้ ตลาดหัวดงอยู่ใกล้กับเทศบาลตำบลหัวดง อำเภอลับแล เป็นแหล่งจำหน่ายทุเรียนหลง-หลินลับแลที่ใหญ่ที่สุดในลับแล มาที่นี่รับรองไม่มีผิดหวัง มีร้านขายทุเรียนให้เลือกหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นในตลาดที่มีบรรยากาศเหมือนตลาดนัดเปิดโล่ง หรือบริเวณด้านหน้าตลาดริมถนนที่เปิดร้านขายทุเรียนเป็นห้องๆ เรียงกันไป

ราคาของทุเรียนที่นี่ก็จะเท่าๆ กัน ถ้าเป็นหลง-หลินลับแลเกรดเอลูกสวยๆ คัดมาอย่างดีราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 400-450 บาท เกรดรองลงมาก็ราวๆ 250-350 บาท นอกจากนั้นก็ยังมีทุเรียนพันธุ์อื่นที่ปลูกในลับแล เช่น หมอนทองลับแล ชะนีลับแล ราคาจะอยู่ที่ราวๆ กิโลกรัมละ 120-140 บาท


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA3NzcuanBn.jpg)

ก่อนกลับนวลแวะไปที่น้ำตกแม่พูล เป็นน้ำตกที่เกิดจากการตกแต่งธารน้ำ โดยการเทปูนให้น้ำไหลลดหลั่นจากบนเขาสูงลงมา ดูคล้ายน้ำตกธรรมชาติ สูงหลายชั้น สภาพโดยรอบนั้นมีความร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ครับ

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjMDA5MjguanBn.jpg)

สำหรับที่พักในลับแลครั้งนี้ของนวล นวลพักที่ลับแลเกสเฮ้าส์ เป็นที่พักที่น่ารักมาก เป็นบ้านไม้โบราณแบบออริจินัลเลยเป็นบ้านของพ่อค้าเก่า คุณเบนเจ้าของบ้านพักได้เช่าและใช้เวลาปรับปรุงไปเรื่อยๆ ใช้เวลาถึง3ปีกว่าจะทำเป็นเกสเฮ้าส์ ราคาที่พักก็น่ารักที่สุดในโลก ถูกจนตกใจ ราคาต่อ 2 คน 1,000บาทรวมอาหารเช้าแบบท้องถิ่น มีสบู่ ยาสีฟันให้ มีจักรยานให้ขี่เที่ยวฟรีๆด้วยนะครับ


(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzMyMDIuanBn.jpg)

(https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w670/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgzLzE0MTYxODUvZHNjXzM3MzQuanBn.jpg)

นวลเป็นแขกคืนที่ 135 ของพี่เบน เชื่อไหมครับว่าความอบอุ่น และการดูแลที่ดีของพี่เบนทำให้นวลประทัปใจมาก พอดีวันที่นวลเข้าพักน้ำประปาดันไม่ไหล พี่เบนต้องแบกน้ำมาให้เราอาบ แถมยังมีปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้ และอาหารเช้าให้อีก ถ้ามีโอกาสไปลับแลอีกนวลจะไปพี่เบนอีกนะครับ

ติดต่อพี่เบนได้เลยนะครับรับรองประทัปใจแบบนวลแน่นวล

พี่เบน โทร 084-502-2361

พิกัด https://goo.gl/maps/Hfs2zF5bTHLopWMu7 (https://goo.gl/maps/Hfs2zF5bTHLopWMu7)

ลับแลอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางในใจ แต่ขอบอกว่าถ้าได้ลองไปสักครั้งแล้วอาจจะหลงรักในเสน่ห์ความเรียบง่าย น่ารัก และความเป็นกันเองของผู้คนที่นี่ก็ได้ครับ แล้วไปเที่ยวลับแลกันนะครับ



ขอบคุณ : https://www.sanook.com/travel/1416185/ (https://www.sanook.com/travel/1416185/)
By Peeranut.P , 09 ก.ค. 62 (10:54 น.)