สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ เมษายน 18, 2020, 06:33:34 am



หัวข้อ: “ปราสาทเขมร” สถาปัตย์ที่ ร.4 โปรด และทรงสร้างในไทย
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ เมษายน 18, 2020, 06:33:34 am



(https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2020/04/ปราสามจอมเกล้า-696x431.jpg)
ปราสาทพระบรมรูป หรือปราสาทพระจอม วัดราชประดิษฐ ถ่ายจากมุขด้านทิศเหนือ (ขวา) ภาพขยายยอดปราสาทพระบรมรูป แตกต่างจากปราสาทพระไตรปิฏก คือ ใช้กลีบขนุนประดับรูปเทพนมแทนนาคปัก เปลี่ยนยอดปราสาทตรงบัญชรชั้นแรกเป็นยอดจตุรพักตร์หรือที่นิยมเรียกว่า “พรหมพักตร์” (ภาพจาก ราชประดิษฐพิพิธทรรศนา)


“ปราสาทเขมร” สถาปัตย์ที่ ร.4 โปรด และทรงสร้างในไทย

ในบรรดาสิ่งที่ “โปรด” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ปราสาทเขมร ถึงกับมีพระราชดำริให้รื้อปราสาทเขมรเมื่อมาสร้างในประเทศ เป็นโครงการในพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2402 แล้วนำมาสร้างไว้บนยอดเขามหาสวรรค์ (เขาวัง) จังหวัดเพชรบุรี และวัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร

พิญชา สุ่มจินดา อธิบายเรื่องปราสาทเขมร ที่รัชกาลที่ 4  โปรดไว้ใน “ราชประดิษฐพิพิธทรรศนา”  ซึ่งขอสรุปมาเสนอแก่ท่านผู้อ่าน

แม้โครงการดังกล่าวจะไม่สำเร็จ หากความยิ่งใหญ่งดงามของปราสาทเขมรยังคงอยู่ในพระราชหฤทัย  เช่น ปราสาทนคร จำลอง ที่วัดพระแก้ว (ที่โปรดเกล้าฯ ให้วัดมาตราส่วนจําลองตามแบบปราสาทนครอย่างละเอียด), พระเจดีย์แดง ปรางค์อย่างเขมรที่วัดพระแก้วน้อย บนยอดเขามหาสวรรค์ จังหวัดเพชรบุรี ฯลฯ

ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อที่ดินพระราชทานให้เป็นวิสุงคามสีมาวัดราชประดิษฐ เพื่อเป็นวัดของคณะสงฆ์ธรรมยุต จึงมีอาคารที่สร้างตามแบบสถาปัตย์เขมรที่พระองค์โปรดอยู่ด้วย นั้นคือ “ปราสาทพระบรมรูป”

@@@@@@

“ปราสาทพระบรมรูป”  หรือ “ปราสาทพระจอม” ลักษณะคล้ายกับปราสาทพระไตรปิฎกเกือบทุกประการ เพียงแต่ใช้กลีบขนุนประดับรูปเทพนมแทนนาคปัก เปลี่ยนยอดปราสาทตรงบัญชรชั้นแรกเป็นรูปหน้าบุรุษสวมกะบังพักตร์แบบเขมร ทั้ง 4 ด้าน รวมเป็นยอดจตุรพักตร์ หรือที่นิยมเรียกว่า “พรหมพักตร์”

ความพิเศษนี้อาจมีนัยบางอย่างที่ผู้สร้างต้องการสื่อถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ เจ้าอยู่หัว  ด้วยพระองค์โปรดปรานสถาปัตยกรรมประเภท “ปรางค์” และ “พรหมพักตร์” เป็นพิเศษ

การสร้างปรางค์แบบเขมรของพระองค์ อาทิ พระปรางค์แดงบนยอดเขา มหาสวรรค์ (เขาวัง) จังหวัดเพชรบุรีหรือปราสาทยอดปรางค์ เช่น ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งเวชยันตวิเชียรปราสาท พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น

นับเป็นตัวอย่างที่ดีของความชื่นชมดังกล่าว ทรงพระราชดําริให้รื้อ “ปราสาทไผทตาพรหม” จากประเทศกัมพูชา ประเทศราชของไทยใน ตอนนั้นมาไว้ที่กรุงเทพมหานครและเพชรบุรีหากไม่สําเร็จ ตามพระราชประสงค์

(ปราสาทไผทตาพรหม ปัจจุบันแม้ยังไม่ทราบว่าเป็น ปราสาทใดแน่ชัดแต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า คือ ปราสาทตาพรหม ในแขวงเมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพราะขนาดความสูง ประมาณ 12 เมตรที่กล่าวไว้ เป็นความสูงใกล้เคียงกับโคปุระหรือประตูทางเข้ากําแพงชั้นนอก ปราสาทตาพรหมซึ่งยอดเป็นรูปจตุรพักตร์ ส่วนรูปพรหมพักตร์ก็เป็นที่โปรดปรานเช่นกัน)

@@@@@@

ดังเห็นได้จากทรงสร้างประตูพรหมพักตร์ยอดปรางค์ในเขตพระราชฐานชั้นในตามอย่าง ประตูพระราชวังหลวง กรุงเก่า เช่น ประตูพรหมโสภาและ ประตูศรีสวัสดิ์ข้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท หรือซุ้มประตู ยอดทรงมงกุฏยอดพรหมพักตร์หน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เป็นต้น รวมทั้งทรงริเริ่มใช้ยอดพรหมพักตร์เป็นยอดพระกลดเฉพาะสําหรับพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก  ความชื่นชมในรูปพรหมพักตร์ของพระองค์จึงอาจมีความเกี่ยวข้องกันจนผู้สร้างนํามาบ ประเด็นในการสร้างยอดพรหมพักตร์ของปราสาทพระจอมก็เป็นได้

อนึ่ง รูปจตุรพักตร์บนยอดปราสาทหรือที่ไทยเราเรียกว่า “พรหมพักตร์” ถือกำเนิดในประเทศกัมพูชาตรงกับรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทีทรงนับถือพุทธศาสนาในระยะแรก ส่วนหนึ่งของยอดโคปุระหรือซุ้มประตูทางเข้าปราสาทในพุทธศาสนา เช่น ปราสาทตาพรหม ต่อมาจึงนําไปใช้เป็นยอดปราสาทเช่นที่เรารู้จักกันดี คือ ปราสาทบายน

นักวิชาการโดยทั่วไปเชื่อว่า คือ พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาของผู้ที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานและลัทธิตันตรยาน (วัชรยาน) ที่เขมรโบราณเรียกว่าพระโลเกศวร  ทว่านักวิชาการบ้างกลุ่มมีความเห็นว่า น่าจะเป็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าในลัทธิตันตรยานของกัมพูชา เพราะหากเป็นพระโลเกศวรจะต้องมีพระพุทธรูปปางสมาธิ คือ พระอมิตาภะอยู่บนพระเศียร เช่นเดียวกับสถูปสวายัมภูนาถ เนปาล




ข้อมูลจาก : พิชญา สุ่มจินดา. ราชประดิษฐพิพิธทรรศนา, วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ตุลาคม 2555
ขอบาคุณ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_48640 (https://www.silpa-mag.com/culture/article_48640)
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ.2563
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์เมื่อ 17 เมษายน 2563