สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 19, 2020, 06:34:57 am



หัวข้อ: เค้นให้รู้จริงจาก Expert สรุปแล้วกาแฟ…ควรดื่มต่อหรือ “พอแค่นี้”
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 19, 2020, 06:34:57 am
(https://obs.line-scdn.net/0hieSGP6qpNkpuPh8W-NhJHVRoNSVdUiVJCghnSTJQaH4UDCIUAQt5f0I_YS5CW3EUAA97L0s5LXsRCHdOUQh5/w1200)


เค้นให้รู้จริงจาก Expert สรุปแล้วกาแฟ…ควรดื่มต่อหรือ “พอแค่นี้”

ไหนๆ ใครเป็น Coffee Lover เหมือนเราบ้าง.? รู้มั้ยว่า นอกจากกาแฟจะเป็นตัวช่วยให้สมองคุณตื่นตัวกลับมาแอคทีฟหายง่วงแล้ว มันยังแฝงด้วยคุณประโยชน์ดีดีไว้อีกมากมาย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องราวที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อนจากผู้เชี่ยวชาญถึง 2 ท่าน ได้แก่ “คุณพลอยศิริ ศรีทอง” และ “คุณวีนา วันหมัด” นักกำหนดอาหารของโรงพยาบาลพญาไทนวมินทร์ที่พร้อมมาเผยเคล็ดลับดื่มกาแฟยังไงให้ได้สุขภาพ และได้รับคุณประโยชน์จากตัวกาแฟจริงๆ 

@@@@@@@

รู้มั้ย.? ความจริงแล้วประโยชน์ของกาแฟนั้นมาจาก “เมล็ดกาแฟ” นะ

นักกำหนดอาหารทั้งสองท่านบอกว่า ถ้าทานกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมได้ ซึ่งจะอยู่ที่ 300 มิลลิกรัมต่อวัน คุณประโยชน์ที่ดีของกาแฟก็จะส่งผลดีต่อร่างกายคุณ โดยในกาแฟนั้นจะมีสารต้านอนูมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ ตรงกับข้อมูลของ รศ.ดร.ชัยชาญ แสงดี หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่พูดถึงว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า จริงๆ แล้วในเมล็ดกาแฟสดที่ไม่ผ่านการคั่วจะมีสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่แท้จริง ชื่อ “กรดคลอโรจินิก” หรือ Chlorogenic acid (CGA)ที่ร่างกายของเรานั้นดูดซึมได้ดี

…แต่พอกาแฟถูกนำไปคั่ว กรดนี้ก็จะสลายตัวไป แต่ถึงยังไง คุณค่าในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระก็ยังมีอยู่ เพราะระหว่างคั่วจะมีการรวมตัวกันของกรดคลอโรจินิก คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน และโปรตีนในเมล็ดกาแฟ โดยพวกมันจะรวมตัวกันจนกลายเป็นสารใหม่ที่ชื่อว่า “เมลานอยดินส์” หรือ Melanoidins ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพียงแต่คุณภาพจะดีไม่เท่ากับกรดคลอโรจินิกนั่นเอง

@@@@@@@

ทำไม…กาแฟอาจ “ไม่เวิร์ค” กับทุกคน.? 

ข้อมูลจากคุณพลอยทำให้เราทราบเพิ่มเติมว่า ปฏิกริยาของกาแฟในร่างกายแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรหัสพันธุกรรม หรือ DNA “สำหรับบางคนที่ดื่มกาแฟเข้าไปแล้วมีการตอบสนองด้วยความรู้สึกใจสั่น  นั่นอาจเป็นเพราะกาแฟถูกขับออกจากร่างกายในรูปแบบของปัสสาวะได้ช้า คาเฟอีนเลยยังคงตกค้างในร่างกายอยู่ ซึ่งเราจะเรียกการตอบสนองนี้ว่า Slow Metabolism หรือการที่ร่างกายเผาพลาญพลังงานได้ช้า…

 …ส่วนบางคนที่ดื่มแล้วยังรู้สึกง่วงเหมือนเดิม ไม่เกิดความรู้สึกกระปี้กระเปร่า นั่นก็เป็นเพราะร่างกายเขาขับกาแฟ หรือคาเฟอีนออกทางปัสสาวะได้ไวกว่า ทำให้ดื่มแล้วความรู้สึกกระปี้กระเปร่านั้นเกิดขึ้นเร็วมาก สุดท้ายเขาก็จะกลับมารู้สึกง่วงเหมือนเดิม ”   

ส่วนใครที่สงสัยว่า เมื่อดื่มกาแฟเข้าไปแล้ว…มันจะไปสร้างกลไกอะไรให้กับร่างกายของเราบ้าง คุณพลอยตอบว่า เมื่อเราดื่มกาแฟเข้าไป สารคาเฟอีน (caffeine) จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองจนทำให้รู้สึกตื่นตัวและสดชื่น นั่นเป็นเพราะว่ามันได้เข้าไปยับยั้งหรือบล๊อกสารในสมองที่ชื่อ อะดีโนซีน (Adenosine) และสารที่ร่างกายสร้างขึ้นอย่างเมลาโทนิน (Melatonin) ทั้งคู่เป็นสารที่ทำให้คนเรารู้สึกง่วงนอน

ความแตกต่างของทั้งสองคือ สารเมลาโทนินจะเชื่อมโยงกับนาฬิกาในระบบร่างกาย (BODY CLOCK) ซึ่งปกติจะปรับไปตามพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ถ้าคุณเข้านอน 2 ทุ่มทุกวัน อาการง่วงจะเริ่มช่วงนั้น ขณะที่อะดีโนซีนนั้นจะหลั่งอยู่ตลอดเวลาที่เราตื่น แล้วจะค่อยๆ เตือนคุณว่า เหนื่อยแล้วควรพักผ่อนและนอนได้ แต่พอทั้งคู่โดนบล๊อกการทำงานโดยคาเฟอีนสมองและร่างกายเลยถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว คุณเลยไม่รู้สึกง่วงยังไงล่ะ

@@@@@@@

ใครบ้าง…ไม่ควรดื่มกาแฟ.?

จากการได้พูดคุยกับนักกำหนดอาหารทั้งสองท่าน ทำให้เราสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟได้ดังนี้
 
1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง 
ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ เมื่อดื่มกาแฟเข้าไป หัวใจอาจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้นและเสี่ยงที่จะเต้นเร็วมากขึ้นไปด้วย ทั้งนี้เมื่อเลือดถูกสูบฉีดเร็ว ก็จะเป็นเหตุให้ความดันในเลือดสูงขึ้นตาม ผู้ป่วยอาจเสี่ยงอันตรายได้
 
2. เด็ก
เด็กในช่วงวัยเรียน ไม่ว่าจะมัธยมต้นหรือมัธยมปลายก็ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพ และไปยับยั้งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตที่หลั่งขณะหลับ ซึ่งถ้าหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจไปทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่
 
3 “หญิงตั้งครรภ์” หรือ “คุณแม่ที่กำลังให้นมลูก”
งานวิจัยจากหลายสถาบันเห็นตรงกันว่า การดื่มการแฟขณะตั้งครรภ์นั้นไม่ควรอย่างยิ่งเพราะแม่อาจเสี่ยงมีภาวะแท้งได้ รวมถึงคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกก็เช่นกัน เพราะสารคาเฟอีนสามารถส่งต่อผ่านทางน้ำนมของคุณแม่ได้ มีผลทำให้ลูกน้อยนอนไม่หลับงอแงทั้งวัน 
 
4 ผู้สูงอายุ
กาแฟถ้าดื่มในปริมาณมากก็จะทำให้ผู้สูงอายุต้องปัสสาวะบ่อยครั้ง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินและเกลือแร่จากการปัสสาวะบ่อยได้ และอาจทำให้การดูดซึมแคลเซียมในร่างกายนั้นไม่ดีเท่าที่ควร
 
5. ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อน
เนื่องจากคาเฟอีนอาจจะไปทำให้เกิดการหลั่งของกรดออกมามากขึ้น ทำให้ผู้ที่มีภาวะนี้มีอาการแย่ลงกว่าเดิม
 
@@@@@@@

ดื่มกาแฟยังไงให้ได้ “สุขภาพ”

1.1 ต้องดื่มให้ถูกวิธี
โดยปกติแล้ว ถ้าคุณไปซื้อกาแฟตามร้านต่างๆ แล้วออร์เดอร์กาแฟหวานมัน 1 แก้ว ปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายได้รับก็จะอยู่ที่ 6-12 ช้อนชา ซึ่งทางคุณวีนาบอกเราว่า จริงๆ แล้วน้ำตาลควรจะเข้าสู่ร่างกายเราไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน  หากเกินกว่านี้ก็อาจเป็นสาเหตุให้ร่างกายคุณมีระดับน้ำตาลที่มากเกินเกณฑ์ได้ 

“ภายในหนึ่งวัน ทุกคนควรจำกัดการดื่มกาแฟให้กับตัวเอง  เพราะกาแฟ 1 แก้ว เท่ากับโควต้าของน้ำตาลและสารคาเฟอีนที่เพียงพอต่อร่างกายแล้ว  เราไม่ควรทานอะไรที่มีน้ำตาลเพิ่มอีก เช่น ของหวาน น้ำอัดลม หรือขนมปัง” -วีนา วันหมัด (นักกำหนดอาหาร )-

1.2 ดื่มกาแฟตอนไหนให้ผลดีต่อร่างกายเรามากที่สุด?
ช่วงเวลาในการดื่มให้ได้ผลดีที่สุดต่อร่างกายนั้น คุณพลอยบอกว่า ควรเป็นช่วงเวลาเช้า เพราะหากคุณเลือกดื่มช่วงบ่ายๆ ร่างกายคุณอาจต้องใช้เวลาขับสารคาเฟอีนออกไปอีก 6 ชม. หลังดื่มเสร็จ  ซึ่งอาจจะส่งผลให้นอนไม่หลับและอ่อนเพลียได้ ที่สำคัญ! คุณอาจเสี่ยงแก่ก่อนวัยด้วยนะ

1.3 อยากได้คุณค่าจากกาแฟแบบเต็มๆ ต้อง “Black Coffee”
เพราะในกาแฟดำนั้นมีสารคาเฟอีนที่เพียงพออยู่แล้ว โดยจะอยู่ที่ประมาณ 60 มิลลิกรัมของกาแฟร้อนแก้วเล็กขนาด 8 ออนซ์ และกาแฟเย็นไซส์มีเดียมขนาด 16 ออนซ์ ทั้งนี้ปริมาณสารคาเฟอีนจะมีมากขึ้นตามลำดับขึ้นอยู่กับขนาดแก้ว  เมื่อคุณดื่มเข้าไป ก็จะส่งผลให้คุณรู้สึกสดชื่น ตื่นตัวได้จริง ที่สำคัญ! โอกาสที่จะทำให้อ้วนก็น้อยกว่ากาแฟแบบอื่นๆ ด้วย หากใครอยากลอง เราขอแนะนำให้เริ่มดื่มแบบใส่น้ำตาลน้อยๆ ป้องกันรสขมซะก่อน และถ้าจะให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด เราขอแนะนำให้ดื่มแบบเพียวๆ ไปเลยดีกว่า

ส่วนกรณีคนที่รู้สึกเสพติดกาแฟมากๆ คุณวีนาบอกว่า “1 วันไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วนะ” เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด (Coronary heart disease) และหากใครที่อยากเลิกเสพติดกาแฟ วิธีที่เราอยากแนะนำคือ ให้ค่อยๆ ปรับพฤติกรรมก่อน อย่าเพิ่งหักดิบเลิกดื่มทันที เช่น ค่อยๆ เปลี่ยนจากกาแฟไปเป็นชาเย็นหรือโกโก้แทน

1.4 Take Note! อยากเริ่มดูแลตัวเอง ควรเริ่มจาก “สั่งหวานน้อย”
ใครที่อยากเริ่มดูแลตัวเองจริงจัง ก็ควรเริ่มจากการสั่งกาแฟต่างๆ แบบหวานน้อยหรือสั่งแบบเปอร์เซนต์ความหวานน้อยๆ ก่อนจะดีที่สุด  คุณวีนาบอกว่า “ถ้าใครชอบดื่มแบบใส่นม ก็ควรสั่งเป็นนมไขมันต่ำเพื่อลดพลังงานสะสมให้กับร่างกาย  หรืออาจสั่งเป็นนมแอลมอนด์ก็ได้ เพราะมันอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ ให้พลังงานสะสมในเกณฑ์ที่ต่ำ”

1.5 สูตรกาแฟที่ดี อาจมาจากการคิดค้นด้วย “ตัวคุณ”
วิธีการเลือกสูตรกาแฟที่ดีที่สุดให้กับตัวคุณ ก็คือการใช้เครื่องชงกาแฟแล้วทำทานเองนี่ล่ะ! คุณวีนาเธอใช้วิธีนี้ครีเอทสูตรที่ตัวเองชอบได้อย่างสบายใจ มันทำให้เธอสามารถกำหนดปริมาณของส่วนผสมต่างๆ ได้แบบไม่ต้องวอรี่ว่าจะอ้วน  เช่น ใส่ปริมาณของน้ำตาลลงไปไม่เกิน 6 ช้อนชานั่นเอง 

ส่วนถ้าอยากดื่มกาแฟให้ได้สุขภาพแบบเต็มๆ  เธอเองก็ได้บอกไปข้างต้นแล้วว่า “ควรดื่มเป็นกาแฟดำจะดีที่สุด”

@@@@@@@

Warning.!! เมื่อรู้สึกแบบนี้ควร  “STOP DRINKING” ทันที

อาการแพ้กาแฟจะมีส่วนคล้ายกับอาการแพ้อาหารทั่วไป ( Allergic Reaction)  เช่น มีผื่นแดง ลมพิษ ระคายเคืองตามปากและลิ้น ใจสั่น เหงื่อไหล รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ในกรณีที่แพ้มากๆ (Anaphylaxis) คุณก็อาจจะมีอาการบวมเพิ่มมากขึ้นที่บริเวณตาและใบหน้า รวมถึงอาจรู้สึกหายใจติดขัด ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถือเป็นอาการที่คุณเองต้องสังเกตให้ได้ 

ทางคุณพลอย เธอเล่าให้เราฟังว่า ตนก็เคยมีอาการแบบนี้เช่นกัน ซึ่งคำแนะนำที่เธออยากบอกคุณคือ หากกรณีข้างต้นเกิดขึ้น ทางแก้ที่ควรรีบทำทันทีคือ “หยุดดื่มกาแฟ และให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ”  เพราะการดื่มน้ำในปริมาณมากจะช่วยให้คาเฟอีนถูกขับออกทางปัสสาวะ ปริมาณของคาเฟอีนในร่างกายคุณนั้นก็จะลดลงไปด้วย

@@@@@@@

“กาแฟแบบ DECAF” VS “กาแฟแบบมีคาเฟอีน”

พูดให้เข้าใจง่ายๆ กาแฟแบบ Decaf  (Decaffeinated Coffee) คือกาแฟที่จะยังมีคาเฟอีนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย โดยจะเป็นกาแฟที่สกัดเอาสารคาเฟอีนออกไปให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนใหญ่คนที่ชอบดื่มกาแฟประเภทนี้ จะเป็นคนที่มีอาการใจสั่น เป็นหญิงตั้งครรภ์หรือคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกอยู่ รวมถึงเป็นคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงและโรคระบบทางเดินอาหารด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็คือคอกาแฟที่ยังต้องการดื่มกาแฟอยู่เหมือนเดิม   

และถ้าพูดถึงด้านคุณค่าของกาแฟแบบ Decaf แล้วล่ะก็ มันก็ยังคงมีอยู่ เนื่องจากสารคาเฟอีนนั้นยังไม่ได้สูญสลายไปทั้งหมด ทำให้กาแฟประเภทนี้ยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เหมือนกับกาแฟทั่วไป เพียงแต่ปริมาณน้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ เช่น จากปกติ 180 มิลลิกรัมต่อแก้วก็จะได้แค่ 27 มิลลิกรัม หรือ 0.00095 ออนซ์ (อ้างอิงข้อมูลวิจัยจาก NIH และ Healthline) 

@@@@@@@

กาแฟอราบีก้า (Arabica) VS กาแฟโรบัสต้า (Robusta)

ไม่พูดถึงไม่ได้ สำหรับกาแฟ  2 สายพันธุ์ ที่ในบ้านเรานั้นจัดว่าเป็นที่นิยมสุดๆ ใครที่อยากผันตัวมาเป็น Coffee Lover เหมือนเราล่ะ ควรเริ่มจากการลองดื่มกาแฟทั้งสองสายพันธุ์นี้ ความแตกต่างหลักๆ ของทั้งคู่ไม่ได้อยู่แค่ที่สายพันธุ์เท่านั้น แต่มันคือ…

1.1 ความเข้มข้นของคาเฟอีน=>  ถ้าพูดถึงความเข้มข้นของสารคาเฟอีน ก็ต้องยกให้เป็นของทางโรบัสต้าเขาเลย  เพราะปริมาณของคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้จะสูง ที่สำคัญข้อมูลจากทางเว็บไซต์

theroasterspack.com ยังบอกด้วยว่า ปริมาณของกรด Chlorogenic acid  หรือสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้นั้นอยู่ที่ 7-10 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อราบีก้านั้นมีแค่  5.5-8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
 
1.2 รสชาติ=> อราบีก้าจะให้ความหวานละมุนลิ้นกว่า มีน้ำตาลสูงกว่าโรบัสต้า แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะหวานมากขนาดนั้นนะ ส่วนโรบัสต้ารสชาติจะค่อนข้างเข้มข้นและมีปริมาณน้ำตาลหรือความหวานที่น้อยกว่าเยอะเลย

@@@@@@@

กาแฟใส่ “นมข้นหวาน” “นมสด” “ครีมเทียม”  “น้ำผึ้ง” และ “ไซรัป”  แบบไหนดีกว่ากัน.? 

ใครที่เข้าใจว่าการเติมน้ำผึ้ง น้ำตาล นมข้นหวาน หรือวิปครีมลงไปในกาแฟโปรดแล้วไม่เป็นไร ต้องบอกเลยว่า   “คุณคิดผิด”  เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มพลังงานที่จัดเป็นพลังงานเกินแก่ร่างกาย  คุณวีนาบอกกับเราว่า นี่อาจเป็นสาเหตุให้บางคนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้

ส่วนกรณีที่คุณสงสัยว่า สรุปแล้ว…จากช๊อยส์ข้างต้นเติมอะไรลงไปในกาแฟแล้วจะดีที่สุด? เธอก็แนะนำให้เติมเป็นนมสดจะดีที่สุดเพราะว่าปริมาณน้ำตาลไม่มากเท่ากับตัวเลือกอื่น ส่วนใครที่อยากเติมน้ำผึ้งก็ให้เติมในปริมาณที่น้อย เพราะถึงแม้ว่าในน้ำผึ้งจะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ แต่มันก็มีส่วนประกอบของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวอยู่ เช่น กลูโคสและฟรักโทส  หากคุณเติมหรือใส่มันลงไปในกาแฟมากเกิน ร่างกายก็จะได้รับพลังงานที่มากเกินความต้องการไปด้วย

@@@@@@@

และนี่.! คือสิ่งที่หลายคนมัก “เข้าใจผิด” ว่าเป็น “ข้อดีของกาแฟ” 

1. ช่วยให้ไม่หิว ลดความอ้วนได้
จริงๆ แล้วในตัวสารคาเฟอีนของกาแฟนั้นไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้ เพียงแต่กาแฟนั้นคือ “น้ำ” เมื่อดื่มเข้าไปในปริมาณที่มาก ก็จะทำให้รู้สึกอิ่มไปโดยปริยาย เหมือนกับการดื่มน้ำนั่นเอง ซึ่งพอเป็นแบบนี้ บางคนเลยไม่รู้สึกหิว เอาเป็นว่าสรุปแล้ว กาแฟไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องสำหรับคนที่อยากไดเอ็ตหรืออยากทานอาหารให้น้อยลงนะ 
 
2. ใช้แทนยาระบายได้ 
ต้องบอกว่า ใครที่เข้าใจแบบนี้คือ “ไม่ถูกต้อง” เพราะนี่เป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายต่อกาแฟเท่านั้น งานวิจัยจาก NIH (National Center of Biological Information) เรื่อง Effects of caffeine on anorectal manometric findings  บอกไว้ว่า เมื่อเราดื่มกาแฟเข้าไปจะเกิดแรงดันที่บริเวณหูรูดทวารหนัก และมันยังไปกระตุ้นให้ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เกิดการบีบหรือหดตัว(Contraction) ขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดการขับถ่ายที่ไม่ปกติตามมา เช่น อาการท้องร่วงนั่นเอง

ส่วนข้อมูลจาก IFFGD หรือ The International Foundation for Functional Gastrointestinal Disorders และเว็บไซต์ healthline.com ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่คนเราถ่ายหนักหลังดื่มกาแฟนั้นอาจเป็นเพราะร่างกายได้รับสารคาเฟอีนมากเกินไป ที่สำคัญในกาแฟยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นการขับถ่ายได้ เช่น นมและครีม 
 
@@@@@@@

และเพื่อเป็นการไขข้อสงสัยว่า ทำไม.? กาแฟถึงไม่ใช่ยาถ่าย (Laxative Effect)  นี่คือข้อมูลที่เราค้นพบเพิ่มเติม

งานวิจัยเมื่อปี 2014 หัวข้อ “No Evidence of Dehydration with Moderate Daily Coffee Intake” วิจัยโดย Killer SC, Blannin AK, Jeukendrup AE พบว่า จากการศึกษาปฏิกิริยาของกลุ่มทดลองหรืออาสาสมัครที่ดื่มกาแฟเกินความเหมาะสมนั้น ทีมวิจัยเขาพบว่าคาเฟอีนในกาแฟจะไปขับน้ำออกจากร่างกายของคนกลุ่มนี้ ซึ่งก็เป็นสาเหตุของการปัสสาวะบ่อยๆ โดยจะเรียกปฏิกิริยาหรือการตอบสนองนี้ว่า “ Diuretic Effects” ทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายของพวกเขานั้นลดลง นอกจากนี้เรายังพบว่านี่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกตามมานั่นเอง

@@@@@@@

เป็นยังไงกันบ้าง.? เห็นมั้ยว่าการดื่มกาแฟให้ถูกที่ ถูกเวลานั้นสามารถสร้างคุณประโยชน์ต่อบอดี้เราได้จริงๆ  และถึงแม้จะมีข้อห้ามและเอฟเฟคที่อาจเป็นอันตรายสำหรับบางคน ปัจจุบันเราก็ยังมีกาแฟ Decaf  เพิ่มมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะ รู้อย่างงี้แล้ว ทุกเช้า ถ้ารู้สึกง่วง ก็รีบชงกาแฟทานหรือออร์เดอร์กาแฟหวานน้อยมาดื่มให้กระปี้กระเปร่ากันเถอะ


ขอบคุณที่มา
https://www.healthaddict.com/content/เค้นให้รู้จริงจาก-Expert-สรุปแล้วกาแฟ…ควรดื่มต่อหรือ-“พอแค่นี้”-/?utm_source=linetoday (https://www.healthaddict.com/content/เค้นให้รู้จริงจาก-Expert-สรุปแล้วกาแฟ…ควรดื่มต่อหรือ-“พอแค่นี้”-/?utm_source=linetoday)