หัวข้อ: ‘ศีลธรรม’ ไทย อยู่อันดับไหนในเวทีโลก.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 27, 2020, 05:24:01 am (https://image.bangkokbiznews.com/kt/media/image/news/2020/12/25/914240/750x422_914240_1608906533.jpg) ‘ศีลธรรม’ ไทย อยู่อันดับไหนในเวทีโลก.? ส่องอันดับคะแนนดัชนีศีลธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และชีวิตที่ดี ปี 2563 ที่สะท้อนให้เห็นว่ามิติด้านจิตใจกับการกินดีอยู่ดีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการพัฒนาควบคู่กัน แต่ก็มีข้อสังเกตว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่อันดับจะไม่ค่อยสูง แล้วไทยอยู่อันดับไหนในเวที? ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ประเด็นด้านศีลธรรมมีส่วนสำคัญในการสร้างความผาสุกให้กับสังคมและส่งเสริมการพัฒนาประเทศ งานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ตัวเป้งอย่างโรเบิร์ต แบร์โรว์ พบว่าความเชื่อเกี่ยวกับศีลธรรม บุญและบาป หรือเรียกรวมกันอย่างหลวมๆ ว่า “ศาสนา” มีความสัมพันธ์กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หากดูข้อมูลที่นำเสนอในตาราง ซึ่งเป็นคะแนนดัชนีศีลธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และชีวิตที่ดีในปี 2563 (An Index of Morality, Conscience and Good Life) จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงเป็นประเทศที่มีคะแนนดัชนีตัวนี้สูงเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่ามิติด้านจิตใจกับมิติการกินดีอยู่ดีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการพัฒนาควบคู่กัน แต่ก็มีข้อสังเกตว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่อันดับจะไม่ค่อยสูง บทบาทของศีลธรรมในทางเศรษฐศาสตร์มี 3 ด้าน คือในฐานะสินค้าเอกชน ในฐานะสินค้าสาธารณะ และในฐานะทุนทางสังคม @@@@@@@ ศีลธรรมในฐานะของสินค้าเอกชน บรรทัดฐานทางศีลธรรมเป็นการชี้แนวทางในการดำเนินชีวิต แต่การเลือกว่าจะทำตามหรือไม่เป็นสิทธิของแต่ละคน ไม่มีใครสามารถบังคับจิตใจ โดยธรรมชาติแล้วทุกคนต่างก็ต้องการเลือกแต่สิ่งที่ดีสำหรับตัวเอง หากเขาเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะยอมรับแนวคิดนั้นด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้การมีระดับทางศีลธรรมในตัวมากน้อยเพียงใดย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัว ทุกคนมีสิทธิจะตัดสินใจเองว่า จะจัดสรรเวลาและทรัพยากรไปกับเรื่องนี้สักกี่มากน้อย โดยการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้กับต้นทุนที่จะเกิดขึ้น ศีลธรรมในฐานะของสินค้าสาธารณะ ศีลธรรมเป็นสิ่งที่ใช้แล้วไม่หมดไป ถึงมีคนให้ความสำคัญกับศีลธรรมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ไม่ได้ทำให้ศีลธรรมนั้นขาดแคลน ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหรือลดความสำคัญลงไปเลย ในทางตรงกันข้าม ยิ่งมีคนมีศีลธรรมมาก ก็จะยิ่งส่งผลเชิงบวกต่อสังคมมากขึ้นเพราะช่วยให้เกิดความสงบสุขของสังคม อย่างไรก็ตาม ศีลธรรมทำหน้าที่นี้ได้ดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับวิธีการในการกล่อมเกลาทางสังคม หากกระบวนการกล่อมเกลามีเหตุมีผลช่วยให้สมาชิกในสังคมมีความเข้าใจหลักคำสอนอย่างถ่องแท้ ไม่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ศีลธรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นเนื้อแท้ของสังคมที่กลายเป็นเสาหลักอันหนึ่งในการค้ำจุนสังคมให้มีความสงบมั่นคง ศีลธรรมในฐานะทุนทางสังคม ศีลธรรมเปิดโอกาสให้คนในสังคมที่มีความเชื่อพื้นฐานคล้ายคลึงกันได้มีโอกาสพบปะพูดคุยทำความรู้จักกัน ก่อให้เกิดชุมชนและเครือข่ายทางสังคมของผู้ที่มีความเชื่อคล้ายคลึงกัน ประโยชน์ที่ได้รับไม่ได้มีแต่ความรู้สึกทางใจเท่านั้น เครือข่ายนี้ยังช่วยให้สมาชิกสามารถรับข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆ ได้มากกว่าที่จะต้องไปหาด้วยตัวของตัวเอง บ่อยครั้งที่กิจกรรมในลักษณะนี้ได้นำไปสู่ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางธุรกิจ (https://image.bangkokbiznews.com/kt/media/image/fileupload1/source/160891427925.png?1608914280259) นอกจากนี้แล้ว มีงานวิจัยหลายชิ้นให้ผลสอดคล้องกันว่าการทำตัวอยู่ในกรอบของศีลธรรม (และศาสนา) มีผลในทางบวกต่อระดับการเรียนอีกด้วย โดยพบว่าเยาวชนที่มีระดับศีลธรรมหรือมีส่วนรวมกับกิจกรรมทางศาสนาโดยสมัครใจ มีระดับผลการเรียนโดยเฉลี่ยสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วม เพราะมีโอกาสพัฒนาระดับความคิดในเชิงนามธรรมสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการคิดและวิเคราะห์ขั้นสูง ขณะที่ครอบครัวที่เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้ร่วมกันมีแนวโน้มจะเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวน้อย สมาชิกในครอบครัวมีความมั่นคงทางจิตใจ จึงมีสมาธิในการทำงานและการเรียนได้ดีกว่าครอบครัวที่มีฐานะใกล้เคียงกันแต่ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องนี้มากนัก แม้ว่าตัวเลขการจัดอันดับของประเทศไทยจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก นั่นไม่ได้หมายความว่า สังคมของเราเป็นสังคมที่เลวร้าย แต่อย่างน้อยการมีตัวเลขให้ดูก็ทำให้เรามีฐานในการคิดต่อว่าตอนนี้สังคมของเราเป็นอย่างไร ทิศทางข้างหน้าควรเป็นอย่างไร อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชายผู้พิสูจน์การดำรงอยู่ของคลื่นความโน้มถ่วงที่เป็นปริศนาคาใจให้วงการวิทยาศาสตร์รอการพิสูจน์มากว่าร้อยปีเคยกล่าวไว้ว่า “วิทยาศาสตร์ที่ขาดมิติทางศาสนา (และศีลธรรม) เป็นเรื่องน่าเบื่อ ฉันใดก็ฉันนั้น ความเชื่อทางศาสนาที่ขาดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รองรับก็คือการปิดหูปิดตาคนดีๆ นี่เอง” ขอบคุณ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/914240 (https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/914240) 26 ธันวาคม 2563 | โดย เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว | คอลัมน์ หน้าต่างความคิด |