สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มกราคม 30, 2021, 05:44:40 am



หัวข้อ: คำถามอันตราย : จะเป็นนักสังคมสงเคราะห์ หรือจะเป็นพระ.?
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 30, 2021, 05:44:40 am


(http://dhamma.serichon.us/wp-content/uploads/2019/09/2019-09-03_032658.jpg)


คำถามอันตราย : จะเป็นนักสังคมสงเคราะห์ หรือจะเป็นพระ.?
โดยนาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

มีคำถามครับ ฟังโจทย์ก่อน
    ๑. พระภิกษุรูปหนึ่ง รับเงิน จับเงิน ใช้เงิน ซึ่งเป็นการผิดต่อพระวินัย แต่ท่านมีจิตใจเอื้ออารี ช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้าน รับอุปการะเด็ก ส่งเสียให้ศึกษาเล่าเรียนเป็นจำนวนมาก
    ๒. พระภิกษุอีกรูปหนึ่ง ไม่รับเงิน ไม่จับเงิน อันเป็นการปฏิบัติตรงต่อพระธรรมวินัย แต่เป็นพระใจจืดใจดำ ไม่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลใครทั้งสิ้น

ถามว่า ท่านคิดว่าชาวบ้านสมัยใหม่ทั่วไปจะนิยมชมชื่นพระภิกษุรูปไหน.?
แน่นอนครับ ผมว่าแทบจะร้อยทั้งร้อยนิยมชมชอบพระภิกษุที่ช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้าน พร้อมกันนั้นก็รังเกียจพระที่ใจจืดใจดำ ถ้าให้เลือก-เหมือนเลือกผู้แทน พระภิกษุที่ช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านจะได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น...จบ

แต่เรื่องยังไม่ควรจบง่ายๆ แบบนั้น เพราะคำถามข้างต้นเป็นคำถามลวงความรู้สึก-แบบชี้นำ คนตอบจะเพ่งเฉพาะความใจดีกับความใจดำอันเป็นจุดที่ผู้ตั้งคำถามต้องการจะให้มอง แต่สิ่งที่ผู้ตั้งคำถามซ่อนคมดาบไว้ก็คือ พระภิกษุกับหลักพระธรรมวินัย

นั่นก็คือ พร้อมๆ กับที่ผู้คนชื่นชมพระภิกษุที่ช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านเขาก็จะมองไม่เห็นความสำคัญที่พระภิกษุจะต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งก็คือมองไม่เห็นโทษภัยของการละเมิดพระธรรมวินัย หรืออาจจะถึงกับมองเห็นการละเมิดพระธรรมวินัยเป็นความดีด้วยซ้ำไป เพราะมีความรู้สึกชื่นชมต่อพระที่ช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านเป็นแรงจูงใจ

@@@@@@@

และพร้อมกันนั้นเอง เขาจะไม่เพียงดูถูกดูแคลนพระที่ใจจืดใจดำ แต่จะพลอยดูเบาต่อพระธรรมวินัยไปด้วย ชวนให้รู้สึกว่าปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้วไม่เห็นจะดีอะไร เพราะมีความรู้สึกดูถูกพระที่ใจจืดใจดำเป็นแรงจูงใจเช่นเดียวกัน

ถ้าเรามีสติรอบคอบ เราก็จะไม่ถูกหลอกให้มองจุดหนึ่ง แต่ลืมมองอีกจุดหนึ่ง นั่นคือ มัวชื่นชมการช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านจนลืมรังเกียจการละเมิดพระธรรมวินัย หรือรังเกียจความใจจืดใจดำจนลืมชื่นชมการปฏิบัติซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย

กล่าวให้ชัดลงไปก็คือ ความช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านเป็นความดีจริง แต่การปฏิบัติซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยก็เป็นความดีจริงเช่นกัน และโดยนัยกลับกัน การปฏิบัติซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยเป็นความดีจริง แต่ความช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านก็เป็นความดีจริงเหมือนกัน

ดังนี้ เราก็จะมองเห็นความสำคัญของทั้งสองสิ่ง ไม่ใช่ชื่นชมสิ่งหนึ่ง แต่รังเกียจอีกสิ่งหนึ่ง-เหมือนกับที่ผู้ตั้งโจทย์ตั้งใจให้เรามอง และดังนี้ เราก็จะรักษาไว้ได้ทั้งสองสิ่ง ไม่ใช่มุ่งจะเอาสิ่งหนึ่ง แต่ขว้างทิ้งอีกสิ่งหนึ่ง-เหมือนกับที่ผู้ตั้งโจทย์ตั้งใจให้เราทำ

@@@@@@@

หลักคำสอนพื้นฐานเรื่องเบญจศีลเบญจธรรม ถ้าเราไม่ลืมกันเสียหมด-จะเป็นแนวเทียบแนวคิดที่ให้สติเราได้เป็นอย่างดี เบญจศีลเบญจธรรมบอกไว้ชัดๆ ว่า จะเอาแต่ศีลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องประพฤติธรรมด้วย และจะประพฤติแต่ธรรมอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องรักษาศีลด้วย ฉันใด

จะเอาดีทางเอื้อเฟื้อเกื้อกูลชาวบ้านอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยด้วย และจะมุ่งแต่รักษาพระธรรมวินัยอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องรักษาน้ำใจชาวบ้านด้วย ถ้าชื่นชมพระที่ช่วยเหลือชาวบ้าน ก็ต้องชื่นชมพระที่รักษาพระธรรมวินัยด้วย และถ้ารังเกียจพระที่ใจจืดใจดำ ก็ควรจะต้องรังเกียจพระที่ละเลยพระธรรมวินัยด้วยเช่นกัน

     @ แต่เมื่อจะพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว ก็ต้องถามกันตรงๆว่า จะเป็นนักสังคมสงเคราะห์หรือจะเป็นพระ.?
     @ ถ้าจะเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระ นักสังคมสงเคราะห์ที่ไม่ใช่พระมีอยู่มากมายมากกว่าพระเสียอีก
     @ แต่ถ้าจะเป็นพระ ก็จำเป็นจะต้องรักษาพระธรรมวินัย เพราะพระธรรมวินัยเป็นเครื่องตัดสินความเป็นพระ พระไม่จำเป็นต้องเป็นนักสังคมสงเคราะหนักสังคมสงเคราะห์ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ

@@@@@@@

สำหรับชาวบ้าน ถ้าอยากได้พระที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ ก็ต้องสนับสนุนให้ท่านรักษาพระธรรมวินัยเป็นอันดับแรก เราจึงจะได้ “พระ” ต่อจากนั้นก็สนับสนุนให้พระเป็นนักสังคมสงเคราะห์อย่างที่เราต้องการ จะมัวชื่นชมความเป็นนักสังคมสงเคราะห์ของท่านจนลืมมองไปที่การรักษาพระธรรมวินัย เราก็จะได้ “นักสังคมสงเคราะห์” แต่ไม่ได้ “พระ”

     # คำถามก็จะวนกลับไปที่เดิม คือ เราอยากได้พระ หรืออยากได้นักสังคมสงเคราะห์ ถ้าอยากได้พระ ก็ต้องสนับสนุนให้ท่านรักษาพระธรรมวินัย เพราะพระธรรมวินัยเป็นเครื่องตัดสินความเป็นพระ
     # ถ้าอยากได้นักสังคมสงเคราะห์ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านเป็นพระ ก็คือให้ท่านออกจากพระ ไปเป็นนักสังคมสงเคราะห์เต็มตัว
     # แต่ถ้าอยากได้พระที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ พร้อมๆ ไปกับอยากได้นักสังคมสงเคราะห์ที่เป็นพระ ก็ต้องสนับสนุนให้ท่านรักษาพระธรรมวินัย และสนับสนุนให้ท่านมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลไปพร้อมๆ กันด้วย คราวนี้จบได้




บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๒ กันยายน ๒๕๖๒ ,๑๑:๒๖
ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2019/09/03/คำถามอันตราย-โดยนาวาเอก/ (http://dhamma.serichon.us/2019/09/03/คำถามอันตราย-โดยนาวาเอก/)
3 กันยายน 2019, posted by admin