หัวข้อ: จิตชะเง้อ - จิตโสเภณี - จิตที่ดิ้นรนกลับกลอก เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2021, 06:10:52 am (http://dhamma.serichon.us/wp-content/uploads/2021/02/462.jpg) จิตชะเง้อ - จิตโสเภณี - จิตที่ดิ้นรนกลับกลอก พระพุทธภาษิต :- ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ อุชุ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรค ว เตชนํ อาริโช ว ถเล ขิตฺโต โอกโมกตอุพฺภโต ปริผนฺทติทํ จิตฺตํ มารเธยฺยํ ปหาตเว คำแปล :- จิตนี้ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมทำจิตนี้ให้ตรง เหมือนช่างศรดัดลูกศร จิตนี้ เมื่อผู้ทำความเพียรยกขึ้นจากอาลัยคือกามคุณ ๕ แล้ว ซัดไปในวิปัสสนากัมมฐาน เพื่อให้ละบ่วงแห่งมาร ย่อมดิ้นรน เหมือนปลาที่พรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำวางไว้บนบก ดิ้นรนอยู่ฉะนั้น @@@@@@@ อธิบายความ :- พระพุทธภาษิตนี้แสดงถึงลักษณะของจิตว่า ดิ้นรนกวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เหลือวิสัยที่จะทำให้ตรงได้ แต่ต้องทำด้วยอุบายอันฉลาด เหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ถ้าไม่ใช่ช่างศร ย่อมทำลูกศรไม่เป็นฉันใด บุคคลผู้ไม่ชำนาญทางการฝึกจิต ก็ไม่สามารถทำจิตให้ตรงได้ฉันนั้น ที่ว่าจิตนี้ดิ้นรนนั้น คือดิ้นรนอยู่ในอารมณ์มีรูป เป็นต้น ดิ้นรนไปเพื่อเกลือกกลั้วกับอารมณ์นั้น ดิ้นรนไปหารูปอันสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสอันยวนใจ เมื่อถูกกีดกันจากอารมณ์นั้นด้วยสมถกัมมฐาน หรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ย่อมดิ้นรนมากขึ้น เพราะไม่ได้เสวยอารมณ์ที่เคยได้ เหมือนของที่คนเคยกินจนติดแล้วไม่ได้กิน ย่อมแสดงอาการทุรนทุราย ที่ว่ากวัดแกว่งนั้น คือไม่สามารถดำรงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่สามารถนิ่งได้ เหมือนเด็ก หรือสิ่งไม่อยู่นิ่งในอิริยาบถเดียว หรือเหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดให้หวั่นไหวอยู่เสมอ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถูกลมคือโลกธรรม ๘ บ้าง ราคะ โทสะ โมหะบ้าง ทำให้หวั่นไหวกวัดแกว่ง ที่ว่ารักษายากนั้น เพราะหาอารมณ์อันเป็นที่สบายให้จิตได้ลำบาก ประเดี๋ยวชอบอย่างนั้น ประเดี๋ยวชอบอย่างนี้ และมักชอบตกไปในอารมณ์อันชั่ว ผู้มีปัญญาจึงต้องคอยเหนี่ยวรั้งอยู่เสมอ เหมือนโคพยายามจะกินข้าวกล้าอันเขียวสด เจ้าของต้องคอยเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยเชือก-เชือกที่สำหรับเหนี่ยวรั้งจิตก็คือสติ ถึงกระนั้นก็เหนี่ยวรั้วได้ยาก (ทุนฺนิวารยํ) เมื่อเชือกคือสติขาดมันก็ไปตามที่ปรารถนาอีก แต่บุรุษมีความเพียรก็ต้องพยายามทำจิตให้ควรแก่การงาน เหมือนอย่างว่า นายช่างศร นำเอาท่อนไม้มาจากป่าปอกเปลือกออกแล้ว ทาด้วยน้ำข้าวหรือน้ำมัน ลนไฟ แล้วตัดให้ตรง เมื่อทำลูกศรให้ตรงได้ที่แล้วก็แสดงศิลปะยิงศรหน้าพระที่นั่งของพระราชา หรือต่อหน้าชุมนุมชนเป็นอันมาก ย่อมได้สักการะและความนับถือฉันใด ผู้มีปัญญาในศาสนานี้ก็ฉันนั้น ทำให้จิตอันมีสภาพดิ้นรนนี้ให้กะเทาะ เปลือกคือกิเลสออก ด้วยอำนาจธุดงคคุณและการอยู่ป่าเป็นต้นแล้ว ชะโลมด้วยยางคือศรัทธา ลนด้วยความเพียรทั้งทางกายและทางจิต ดัดที่ง่ามคือสมณะและวิปัสสนา ทำจิตให้ตรงให้หมดพยศ แลแล้วพิจารณาสังขาร ทำลายกองวิชชาได้แล้ว ยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้น กล่าวคือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และโลกุตรธรรม ๙ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นทักขิเณยยบุคคลผู้เลิศ บ่วงแห่งมารที่ตรัสถึงในที่นี้ ท่านหมายถึงกิเลสวัฏฏ์ การทำวิปัสสนากัมมัฏฐานก็เพื่อให้ละบ่วงแห่งมารนี้ อาการทั้งหมดนี้ ภิกษุย่อมได้รับด้วยความเพียรอันเป็นไปติดต่อไม่ขาดสาย งานการฝึกจิตเป็นงานใหญ่และสำคัญยิ่งในชีวิตมนุษย์ ไม่มีงานใดจะสำคัญและมีอานิสงส์มากเท่านี้ เรื่องจิตยังมีข้างหน้าอีกมาก เพราะวรรคนี้ว่าด้วยเรื่องจิตทั้งวรรค พระพุทธภาษิตนี้ พระศาสดาทรงปรารภพระเมฆิยะตรัสไว้ บัณฑิตพึงทราบเรื่องเมฆิยะด้วย @@@@@@@ เรื่องพระเมฆิยะ พระเมฆิยะเป็นภิกษุอุปฐากพระศาสดาในสมัยหนึ่ง วันหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตในชันตุคาม ได้เห็นสวนมะม่วงอันรื่นรมย์ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำกิมิกาฬา ปรารถนาจะไปทำความเพียร ณ ที่นั้น จึงกลับมากราบทูลพระศาสดาว่าตนได้เห็นสถานที่อันรื่นรมย์ควรทำความเพียร ขออนุญาตทูลลาไปทำความเพียรที่นั่น พระศาสดาทรงตรวจดูอินทรีย์ของพระเมฆิยะแล้วเห็นว่ายังอ่อนอยู่ ไม่ควรเพื่อทำความเพียรด้วยตนเอง จึงทรงห้ามเสียถึง ๓ ครั้งว่า “เมฆิยะ อย่าเพิ่งเลย เวลานี้เราอยู่ผู้เดียว ขอเธอจงรอคอยจนกว่าจะมีภิกษุบางรูปมาแทนแล้ว เธอจึงค่อยไป” ดังนี้เป็นต้น แต่พระเมฆิยะหาฟังไม่ ทอดทิ้งพระศาสดาให้อยู่แต่พระองค์เดียว ส่วนตนไปยังสวนมะม่วงอันรื่นรมย์ แต่เมื่อไปถึงแล้วไม่สามารถทำความเพียรอย่างที่ตั้งใจได้ เพราะถูกวิตกทั้ง ๓ คือกามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตกครอบงำ จึงกลับมาสู่สำนักพระศาสดา พระศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนเมฆิยะ! เธอละทิ้งเราผู้อ้อนวอนอยู่ถึง ๓ ครั้งว่าให้รอก่อน จนกว่าจะมีภิกษุบางรูปมาแทน แต่เธอก็หาฟังไม่ เธอได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ธรรมดาภิกษุไม่ควรตามใจตนเอง ขนาดปรารถนาสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นตามใจชอบ ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจแห่งจิต เพราะจิตเป็นธรรมชาติอันแล่นไปเร็ว ควรทำจิตให้อยู่ในอำนาจของตน” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาว่า “ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ” เป็นอาทิ มีเนื้อความและอรรถาธิบายดังพรรณนามาแล้วแต่ต้น ที่มา : ธรรมบท ทางแห่งความดี เล่ม 2. โดยอาจารย์วศิน อินทสระ ,เพจ อาจารย์วศิน อินทสระ ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/02/22/จิตชะเง้อ-จิตโสเภณี/ (http://dhamma.serichon.us/2021/02/22/จิตชะเง้อ-จิตโสเภณี/) 22 กุมภาพันธ์ 2021, By admin. |