สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

(http://learners.in.th/file/prichotwut/1132.jpg)

วัดในฝันของท่านเป็นอย่างไร .... สำหรับผมเป็นแบบนี้

จากกระทู้ ที่ถามว่า
แท้จริงแล้ววัดคืออะไรกันแน่ วัดมีความหมายต่อคนไทยอย่างไร

ทำให้ผม คิดต่อว่า อยากจะให้ วัดมีกิจกรรม และมีลักษณะเป็นอย่างไร
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม นะ

1. ไม่มีการแสดงมโหรสพ และอบายมุข ทุกประเภท เช่น เหล้า
และการเบียดเบียน ผิดศีล ทุก ๆ ประเภท

2. อยากจะให้มีเป็นลานกว้าง ๆ เรียบ ๆ
  สะอาด ๆ ที่ทุก ๆ ท่านสามารถที่จะนั่ง
  ฟังธรรม จาก ผู้แสดงธรรม ที่ไม่จำกัด
  ว่าจะต้องเป็น ผู้ที่ห่มผ้าเหลือง เสมอไป
  ( อาจจะเชิญ ดร.สนอง  อ.จัตตาโร
    หรือ ฆราวาส ท่านอื่น ๆ ที่มีความรู้
    ทางธรรม มา ก็ได้ )

3. ขอให้มีพิธีกรรม ต่าง ๆ เฉพาะที่เป็นของ
  พุทธแท้ ๆ ไม่ นำเอา พิธีกรรมอื่น ๆ มาผสม

4.  การบริจาค ในวัด ก็ ขอให้ ทำเพื่อ มูลนิธิ
   การกุศล อื่น ๆ มิใช่เป็นไปเพื่อการสะสม
   สร้างสิ่งปลูกสร้างที่มิ จำเป็น ในวัด ....
   เพื่อให้วัดดูภูมิฐาน มีฐานะ  ( ตรงนี้ ไม่จำเป็น
   ในความคิดของผม นะ  )
   
5. อาจจะแบ่งสัดส่วน ของ พื้นที่ แบ่งแยก ตาม
  ความสนใจ เป็นกลุ่ม ๆ โดยไม่จำเป็นจะต้อง
  สร้างเป็นห้อง ๆ ก็ได้  เช่น กลุ่ม ที่ ต้องการสวดมนต์
  ก็ รวมกลุ่ม ด้านหนึ่ง   กลุ่มที่ต้องการปฏิบัติสมาธิ
  ก็อยู่อีกด้านหนึ่ง   กลุ่มที่ เน้น เรื่อง สติแบบเคลื่อนไหว
  ก็อยู่อีกด้านหนึ่ง ...   หรือ กลุ่มสนทนา แลกเปลี่ยน
  ข้อหาธรรมะ กันแบบเปิด ซึ่งอาจจะมีตั้งแต่กลุ่มเล็ก ๆ
  2 คน จนถึง ถึงกลุ่มใหญ่ ๆ เป็น หลัก สิบ หลัก ร้อย เป็นต้น...

6. รูปร่างของโบสถ์ อุโบสถ ไม่จำเป็นต้องเป็น
  มีลายไทย ๆ ก็ได้ ... กุฎิ ของสงฆ์ ก็ให้ สร้างแบบเรียบง่าย
  ส่วนฆราวาส ที่จะพัก ในบริเวณ ก็ อาจจะจัดให้นอนในเต้นท์
  ก็ได้   ( เพราะ ที ไปเที่ยว ยังตอนเต้นท์ กันได้เลย มีความสุข
  กัน ซะด้วย ซิ ) ...

7. ส่วนเรื่อง อาหาร น้ำดื่ม ผมแยกเป็น สอง แนว ครับ
  1. มีการจัดน้ำดื่ม อาหาร (มังสวิรัติ นะ ) บริการให้ จากเงิน
     บริจาค ที่ได้รับ มา
  2. มีร้านค้า มาบริการให้ โดย ไม่เกี่ยวกับทางวัด ใคร่ที่จะ
      ดื่ม จะกิน ต้องดูแล ด้วย ทุนส่วนตัว วัดแค่ให้ธรรมะ
      กลับไป ก็พอ แล้ว ....

ก็ประมาณ นี้ นะ วัดในฝันของผม ...
ส่วนท่าน อื่น ๆ ลอง แสดง คห.
ตามสะดวกครับ ผม ....

จากคุณ    : trialuck

คนหนึ่งพูดถึงวัดในแนวจับต้องได้แนวประโยชน์ใช้สอนแนวงดงามออกเลิดหรูอลังการ,อีกคนพูดในแนวปรมัตถ์แนวจิตนิยมแนวธรรมมะ........แล้วมันจะเข้าใจตรงกันหมั๊ยเนี่ยะ.......
......ตอนที่หลวงปู่สิมท่านยังมีชีวิตอยู่ ...มีคนถามท่านว่า ทำไมหลวงปู่อยู่ที่ถ้ำผาปล่อง,ทำไมพระอาจารย์เปลี่ยนอยู่ที่ราบ(วัดป่าดาราภิรมย์,ที่แม่ริม)...ท่านบอกว่า...ก็จริตไม่เหมือนกันชอบไม่เหมือนกันสัมปายะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กัยความชอบของแต่ละบุคคล..พระบางองค์ชอบอยู่ในถ้ำ,พระบางองค์อยู่ในป่าลึก,พระบางองค์อยู่ในสังคมเพราะยังเห็นประโยชน์ในส่วนต่างๆอยู่ ,พระบางองค์ชอบสถานที่โล่งแจ้งอากาศถ่ายเทได้สะดวก,พระบางองค์ชอบทำเลที่ๆมีอากาศหนาว,พระบางองค์ชอบอยู่บนยอดเขารับลมได้ดีและอากาบริสุทธิ์,พระบางองค์ต้องมาใช้กรรมเก่าที่นั้น,ฯลฯ.............นอกจากนี้แล้วท่านยังเล่าประวัติการเกิดถ้ำผาปล่องให้ฟัง,รวมทั้งพยานาคที่ขึ้นมาฟังธรรมจากท่านด้วย......
.............ดังนั้นป้าว่า..ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล...............ไม่ว่ากัน......
อย่างที่เอารูปวัดสวยมาให้ดู..นั่นก็เป็นจินตาการที่ถูกสร้างขึ้น(เนรมิตขึ้น)......จนเป็นรูปร่างดังกล่าว......เธอถ้ามีจินตนาการดีๆก็อาจสร้างได้วิจิตพิศดารกว่านี้เป็น สิบๆเท่าก้ไม่แปลก.........
เหมือน....การเห็นเทวดา ซึ่งในภาพวาดหรือในจินตนาการที่ผู้รู้เก่าๆบอกต่อๆกันมาถ่านทอดผ่านกันมามักจะเป็นเทวดาที่แต่งชุดแบบมีชฎาแหลมนุ่งโจงกระเบนหรือมีรัศมีรอบตัว(ในเทวดาฝรั่งก็จะมีวงแหวนอยู่เหนือศรีษะ)....
แต่ที่ป้าเคยเห็น....ก็เป็นเพียงรูปคนธรรมดาๆเหมือนคนปกติทั่วไป...จะแตกต่างก็เพียงแต่มีผิวพรรณ(วรรณะ)ที่ดูแล้วสบายตา หรือมีควาผ่องในตัวเองเท่านั้น (เป็นความเห็นหรือประสบการณ์ส่วนบุคคล..ควรใช้วิจารญาณในการรับฟัง)........ซึ่งการเห็นป้าก็ไม่ซีเรียสในความต่างของการเห็นเพราะป้าอาจไปเห็นเพียงเทวดาชั้นต่ำๆหรือแค่วิญญาณทั่วไปก็ได้...ส่วนชั้นอื่นๆนั้นป้าก็ไม่เห็นเพราะบุญบารมีป้าไม่มากพอที่จะไปสัมผัสได้.......
ฉันใดฉันนั้น..............ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่-ผูกอู่ตามใจผู้นอน............