หัวข้อ: ธรรมทานเป็นเลิศ | ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 08, 2021, 07:11:38 am (https://i.ytimg.com/vi/DX8w5Nipuy0/maxresdefault.jpg) ธรรมทานเป็นเลิศ | ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง การให้ธรรมเป็นทาน ภิกษุที่แสดงพระธรรมเทศนา ชื่อว่าให้ "ธรรมเป็นทาน" คฤหัสถ์ที่กล่าวธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว ได้ศึกษามาแล้วให้ผู้อื่นได้รู้ตาม เช่นเรื่องของนางขุชชุชตรา ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แล้วกลับมาแสดงธรรมแก่พระนางสามาวดีและบริวาร ให้ได้บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันก็ดี ครูอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนศิษย์ให้อยู่ในกรอบแห่ง ศีลธรรมก็ดี บิดามารดาที่สอนบุตรหลานให้ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ ในศีล ๕ ก็ดี เหล่านี้ชื่อว่า เป็นการให้ธรรมเป็นทานทั้งสิ้น มังคลัตถทีปนี้แปล เล่ม ๓ หน้า ๔๗-๕๘ กล่าวว่า พระธรรมกถึกในพระศาสนานี้ ชี้แจงให้ผู้ฟังเห็นกรรม และวิบากคือผลแห่งกรรม จําแนกธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล แจกแจงให้เห็นว่าธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้บุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขทั้งโลกนี้โลกหน้า การแสดงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศแล้ว อันเป็นเหตุให้สิ้นทุกข์ และนําสุขมาให้ ชื่อว่า "ธรรมทาน" เช่น อุปติสสะได้ฟังธรรม ของพระอัสสชิเถระแล้ว ได้บรรลุโสดาปัตติมรรค กลับมากล่าวธรรมนั้นแก่โกลิตะ ตามกติกาที่ให้แก่กันไว้ว่า หากผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจักมาบอกข่าวให้กันทราบโกลิตะได้บรรลุโสดาปัตติมรรคเมื่อฟัง ธรรมนั้น ในกรณีนี้ธรรมที่พระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะ และธรรมที่อุปติสสะกล่าวแก่โกลิตะ ชื่อว่า "ธรรมทาน" @@@@@@@ เวลาต่อมา อุปติสสะและโกลิตะพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดาทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่ออุปสมบทแล้วพระพุทธองค์ทรงประทานนามตามนามของมารดาทั้งสองท่านว่า สารีบุตร และโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะได้บรรลุพระอรหัตภายในเวลา ๗ วัน พระสารีบุตรบรรลุพระอรหัตในเวลาล่วงไป ๑๕ วัน พระบรมศาสดาทรงแต่งตั้งท่านทั้งสองไว้ในตําแหน่งคู่อัครสาวก ในพระศาสนานี้ ในบรรดาทานทั้งสอง คือ อามิสทาน และธรรมทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ท้าวสักกะว่า ธรรมทานเป็นเลิศ ตรัสคาถาว่า "ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปาง ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง" ในมงคลสูตร พระพุทธองค์ตรัสการให้ธรรมเป็นทาน ว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งคุณทั้งหลาย คือ นอกจากการแจกแจงให้ผู้ฟังได้รับรู้สัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศ และพระวินัยที่ทรงบัญญัติ แนะนําในเรื่องที่ควรแนะนํา เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว ขณะที่ภิกษุกําลังแสดงธรรมตามที่ได้เรียนมา แม้ภิกษุผู้แสดงก็ย่อมได้ความซาบซึ้งในอรรถและในธรรมตามที่แสดงนั้นด้วย เป็นการได้ทั้งประโยชน์ ตนประโยชน์ท่าน จึงตรัสว่าการให้ธรรมทานเป็นมงคล @@@@@@@ องค์คุณแห่งพระธรรมกถึก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๓ หน้า ๓๓๓-๓๓๔ กล่าวถึงองค์คุณของพระธรรมกถึก ๕ ประการ ได้แก่ ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งใจว่า - เราจักแสดงธรรมไปโดยลําดับ ๑ - เราจักแสดงอ้างเหตุผล ๑ - เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑ - เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑ - เราจักไม่แสดงธรรมให้กระทบตนและผู้อื่น ๑ ภิกษุพึงแสดงธรรมโดยลําดับเช่น แสดงศีลในลําดับต่อจาก ทาน แสดงสวรรค์ในลําดับต่อจากศีล เป็นต้น แสดงเหตุแห่งเนื้อความ ในธรรมที่กําลังแสดง อาศัยความเอ็นดูว่าเราจักเปลื้องสัตว์ทั้งหลายให้ พ้นจากความยากลําบาก แสดงธรรมโดยไม่หวังลาภคือปัจจัย ๔ เพื่อตน แสดงธรรมโดยไม่ยกตนข่มผู้อื่น ภิกษุพึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ ภายในใจ แล้วจึงแสดงธรรม @@@@@@@ อานิสงส์แห่งการฟังธรรม อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ธัมมัสสวนสูตร หน้า ๔๔๘ กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการฟังธรรมไว้ ๕ ประการ คือ - ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ - ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๑ - ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ ๑ - ย่อมทําความเห็นให้ตรง ๑ - จิตของผู้ฟังย่อมบังเกิดความเลื่อมใส ๑ ขอบคุณภาพจาก : youtube จากหนังสือ : ตามรอยพระธรรม ของ พระบรมศาสดา ผู้เขียน สุรีย์ มีผลกิจ ขอบคุณ : https://www.nirvanattain.com/สิ่งที่ควรทำ/สร้างบุญบารมี/ทาน-การให้-การแบ่งปัน-การเสียสละ.html (https://www.nirvanattain.com/สิ่งที่ควรทำ/สร้างบุญบารมี/ทาน-การให้-การแบ่งปัน-การเสียสละ.html) 02 พฤษภาคม 2563 |