หัวข้อ: เราตัดสินความคิดคนอื่นว่า 'ผิด' เพียงเพราะเขา (คิด)ไม่เหมือนเรา.?!? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 16, 2021, 10:27:17 am (https://obs.line-scdn.net/0hkeh4UXCeNEpVTSN2SWtLHW0bODtmKy5DdykuKnBJY34oYXROPXlnKXdEaWYoeyFPdS8sJXkZOS1xLXNJbQ/w644) เรื่องเล่าจาก Midnight Mass : เราตัดสินความคิดคนอื่นว่า 'ผิด' เพียงเพราะเขา (คิด)ไม่เหมือนเรา.? ก่อนหน้านี้ผมได้ดูซีรีส์เรื่อง Midnight Mass ทาง Netflix และมาสะดุดกับเนื้อเรื่องที่ตัวละครในเรื่องเล่าถึงคุณหมอท่านหนึ่งที่ชื่อว่า Dr.Ignaz Semmelweis ซึ่งเขาคนนี้เคยมีตัวตนอยู่จริงๆในช่วงศตรวรรษที่ 19 โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1846 ที่กรุงเวียนนา คุณหมอหนุ่มท่านนี้ได้รับมอบหมายให้เข้ามาหาเหตุผลของการเสียชีวิตของผู้หญิงจำนวนมากจากการติดเชื้อระหว่างคลอด (Puerperal Fever) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Childbed Fever ในแผนกสูตินรีเวชที่ General Hospital ณ กรุงเวียนนา โดยในโรงพยาบาลแห่งนี้มีวอร์ดสูตินรีเวชอยู่สองวอร์ดด้วยกัน คือ 1) วอร์ดสูตินรีเวช ที่ดูแลโดยคุณหมอที่เป็นผู้ชายทั้งหมด มีตั้งแต่อาจารย์แพทย์ไปจนถึงนักศึกษาแพทย์ 2) วอร์ดสูตินรีเวช ที่ดูแลโดยนางพยาบาลผดุงครรภ์ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมด Dr.Semmelweis เริ่มทำการเก็บข้อมูล แล้วก็ได้ไปพบเรื่องที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะอัตราการเสียชีวิตของวอร์ดที่ดูแลโดยคุณหมอผู้ชาย มีอัตราการเสียชีวิตของคนไข้สูงกว่าวอร์ดที่ดูแลโดยนางพยาบาลผดุงครรภ์ถึง 5 เท่า @@@@@@@ Dr.Semmelweis ก็ได้นำปัจจัยต่างๆ ของทั้งสองวอร์ดมาเปรียบเทียบกัน โดยค่อยๆ ตัดความเป็นไปได้ลงไปทีละสมมติฐาน สมมติฐานแรก ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเลยคือ ในวอร์ดของหมอผู้ชาย คุณแม่คลอดในท่านอนหงายแต่ในวอร์ดของนางพยาบาลผดุงครรภ์ คุณแม่จะคลอดในท่านอนตะแคง ทาง Dr.Semmelweis เลยลองให้คุณแม่ในวอร์ดของหมอผู้ชายนอนตะแคงบ้าง ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรแตกต่างกัน สมมติฐานข้อนี้จึงตกไป สมมติฐานที่สองคือ เวลามีใครเสียชีวิตจาก Childbed Fever จะมีบาทหลวงเดินเข้ามาอย่างช้าๆผ่านไปที่เตียงของคนไข้ที่อยู่ในวอร์ด พร้อมผู้ช่วยที่คอยสั่นกระดิ่ง เขาเลยตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่า หรือเป็นเพราะเสียงกระดิ่ง ทำให้ผู้หญิงที่ยังมีชีวิตอยู่เกิดกลัวขึ้นมาเลยทำให้เสียขวัญจนกระทั่งป่วยและเสียชีวิตตามไปด้วย.? คุณหมอเลยให้บาทหลวงลองเปลี่ยนเส้นทางการเดินและไม่ให้ใช้กระดิ่ง ผลปรากฏว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ดังนั้นสมมติฐานนี้จึงตกไปเช่นเดียวกัน จนมาถึงตอนนี้ เขาก็เริ่มที่จะหัวเสียมากๆ แล้ว เพราะหาสาเหตุของการเสียชีวิตไม่ได้สักที ในระหว่างนั้นเองเพื่อนของเขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาก็ได้ป่วยและเสียชีวิตลง ทำให้ Dr.Semmelweis ตัดสินใจเข้าไปศึกษาการเสียชีวิตของเพื่อนคนนี้ แล้วก็พบว่าอาการต่างๆนั้นเหมือนกับการเสียชีวิตจากการติดเชื้อระหว่างคลอดเลย ดังนั้น Childbed Fever จึงไม่ได้เกิดขึ้นได้แต่กับคุณแม่ที่กำลังจะคลอดเท่านั้น แต่เกิดได้กับคนอื่นๆ ในโรงพยาบาลเช่นกัน @@@@@@@ แต่ก็ยังมีคำถามที่ใหญ่มากๆ อยู่นั่นคือ “ทำไมมีคนเสียชีวิตจากวอร์ดที่ดูแลโดยหมอผู้ชาย มากกว่าวอร์ดที่ดูแลโดยพยาบาลผดุงครรภ์.?” Dr.Semmelweis ก็ได้ตั้งข้อสังเกตอีกข้อว่า คุณหมอผู้ชายจะต้องทำอีกหน้าที่หนึ่งคือการชันสูตรศพด้วย ในขณะที่นางพยาบาลผดุงครรภ์ไม่ต้องทำ เขาเลยตั้งสมมติฐานว่าตอนที่หมอชันสูตรพลิกศพ ชิ้นส่วนเล็กๆ จากศพอาจจะติดมือของหมอมา แล้วเมื่อมาทำคลอดผู้หญิงต่อ ชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านั้นอาจจะหลุดเข้าไปในช่องคลอด แล้วทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นป่วยและเสียชีวิตในที่สุด ด้วยความสงสัยเขาเลยสั่งให้เปลี่ยนกระบวนการล้างมือและเครื่องมือของทุกคนใหม่ โดยจะไม่ล้างแค่สบู่อย่างเดียว แต่จะล้างด้วยสารละลายคลอรีน ในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้นยังไม่มีการองค์ความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค (Germs) มากนัก และ Dr.Semmelweis ก็ไม่รู้จักเชื้อโรคเช่นกัน ที่เขาเลือกใช้คลอรีนก็เพราะว่าเขาคิดว่ามันสามารถกำจัดชิ้นส่วนเล็กๆ ที่อาจจะติดมากับศพที่ถูกชันสูตรได้ ทันทีที่มาตรการนี้เริ่มใช้ อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมาก สิ่งที่เขาค้นพบยังคงเป็นสิ่งที่จริงมาจนถึง ทุกวันนี้นั่นก็คือ ‘การล้างมือคือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของระบบสาธารณสุข’ การค้นพบครั้งนี้น่าจะทำให้วงการแพทย์ตื่นเต้นมากๆ เพราะปัญหาใหญ่ได้ถูกแก้ไขแล้ว และการล้างมือกับอุปกรณ์ด้วยคลอรีนน่าจะกลายเป็นมาตรฐานที่ทุกโรงพยาบาลต้องนำไปปฏิบัติด่วนเลยใช่ไหมครับ.? แต่คำตอบคือ ไม่ใช่เลยครับ สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง @@@@@@@ ปรากฏว่าหมอต่างๆ ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกกล่าวหาว่า เป็นสาเหตุให้ผู้หญิงเป็น Childbed Fever ทาง Dr.Semmelweis เองก็เป็นคนตรงไปตรงมา เขาได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างเผ็ดร้อนสร้างความไม่พอใจให้กับคนในวงการแพทย์เป็นจำนวนมาก จนในที่สุดบรรดาหมอต่างๆ ก็สั่งให้หยุดล้างมือด้วยคลอรีน และ Dr.Semmelweis ก็ถูกไล่ออก ใช่ครับ คนที่ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมหาศาลถูกไล่ออก และโรงพยาบาลแห่งนี้ก็กลับมาใช้วิธีเดิม ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตก็พุ่งสูงขึ้นอีก แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจจะแก้ไขอะไร Dr.Semmelweis ใช้เวลาหลังจากนั้นพยายามนำหลักฐานเรื่องการล้างมือและล้างอุปกรณ์ไปแสดงให้กับโรงพยาบาลและคุณหมอทั่วยุโรป แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เขาเริ่มหมกหมุ่นกับเรื่องนี้มากขึ้นเขาทั้งโกรธและผิดหวังอย่างมาก ซึ่งมันได้ส่งผลเสียต่อสมองของเขาจนเขามีอาการทางจิต ในปี 1865 ด้วยวัยเพียง 47 ปี เขาถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช และเขาก็ได้เสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดที่โรงพยาบาลจิตเวชนั้น @@@@@@@ ในเรื่อง Midnight Mass ตัวแสดงที่เล่าเรื่องนี้บอก “The scientific community ate him alive, germ theory was two decades away from acceptance” “วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ทำลายชีวิตเขา เพราะกว่าความรู้เรื่องเชื้อโรคจะเริ่มเป็นที่รู้จักก็ผ่านมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว” “Semmelweis was committed to an Asylum by another scientist and he died there” Dr.Semmelweis ถูกทำให้เข้าโรงพยาบาลจิตเวช โดยสังคมหมอและนักวิทยาศาสตร์ และเขาก็เสียชีวิตที่นั้นอย่างน่าเศร้า ผมคิดว่าเรื่องนี้ทำให้เราต้องหันกลับมามองตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองให้เยอะเลยว่า บางทีเราเองก็เหมือนกับเหล่าบรรดาสังคมแพทย์ที่ไม่เห็นด้วยกับ Dr.Semmelweis หรือไม่.? เราเคยตัดสินความคิดของคนอื่นว่าผิดเพียงเพราะว่า “ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน” บ้างไหม.? เราเคยตัดสินความคิดคนอื่นว่าผิด เพียงเพราะว่า ความคิดนั้นมันทำให้เราดูไม่ดีไหม.? เราเคยตัดสินความคิดคนอื่นว่าผิด เพียงเพราะว่า เรามีอำนาจเหนือกว่าเขาไหม.? เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงคำพูดของ Audre Lorde (https://www.brainyquote.com/authors/audre-lorde-quotes) ที่ว่า “It is not our differences that divide us. It is our inability to recognize, accept, and celebrate those differences.” “มันไม่ใช่ความแตกต่างทางความคิดที่แบ่งแยกเรา มันคือการที่เราไม่สามารถที่จะมองเห็น ยอมรับและชื่นชมความแตกต่างนั้นต่างหาก” Thank to : https://today.line.me/th/v2/article/x2XKjx1 (https://today.line.me/th/v2/article/x2XKjx1) Mission To The Moon ,อัพเดต 04 ต.ค. เวลา 21.35 น. • เผยแพร่ 04 ต.ค. เวลา 20.00 น. • Rawit Hanutsaha |