หัวข้อ: เข้าใจการปฏิบัติใช้สมาธินำ หรือ ปัญญานำ แบบส่วนตัว เริ่มหัวข้อโดย: ครูนภา ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2011, 07:09:26 am การปฏิบัติธรรมมีแบบปฏิบัติที่สำคัญๆ อยู่ 2 แบบ
1. ใช้สมาธินำก่อน แล้วค่อยใช้ปัญญาตาม 2. ใช้ปัญญานำก่อน(แต่จิตจะต้องมีกำลังของสมาธิพอสมควร) 1. ใช้สมาธินำ เช่น นั่งสมาธิ อาจจะใช้อานาปานสติ กำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้า-ออก ตอนนี้จิตกับลมหายใจจะเป็นอันเดียวกัน กำหนดไปๆ จนจิตแยกออกมาจากลมหายใจกลายมาเป็นผู้มารู้ลม ที่กำลังเข้า-ออกแทน แต่ไม่มีคำว่าลมหายใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญญา (ตอนนี้เป็นสมาธิระดับลึก ต้องเอาปัญญามาพิจารณา แล้วจิตจะถอน ออกมาจากสมาธิลึกเล็กน้อยเพื่อที่จะพิจารณาความจริงได้) เพราะถ้าไม่พิจารณาว่า ลมคือลม จิตคือจิต แยกจากกัน ก็จะเป็นสมถะ แต่ถ้ารู้แบบแยกจากกันได้ ก็จะเป็นวิปัสสนา ว่า ลม(หายใจ)ไม่ใช่เรา (ใช้ผลจากกำลังสมาธิลึก ทำให้จิตตั้งมั่น แล้วถอยจิตออกมาเล็กน้อย) แล้วอาจจะพิจารณาไปอีกว่าลมนี้ก็มีเกิดขึ้น-ตั้งอยู่(ยังมีสภาพเป็นลม) และดับไป เท่านั้นเอง แล้วลมนี้มาจากไหน ก็มาจากการยังมีอยู่ของร่างกาย แล้วร่างกายมีสภาพอย่างไร ก็ใช้อสุภะมาพิจารณา หรือพิจารณาแยกกาย ออกมากองทีละส่วน หาความจริงของร่างกายนั้นไม่ได้(สายพระป่า) แต่การพิจารณากายทั้งหมด ใช้สมาธิไม่ใช่ระดับลึก แต่ต้องมีสมาธิบ้าง อีกอย่างที่สำคัญคือ ข้อมูลความเป็นจริงของร่างกาย หรือข้อมูลที่เราจะเอา มาพิจารณาจะต้องมีเก็บอยู่ในสัญญาขันธ์(ความจำ)บ้าง ไม่เช่นนั้น เราจะเอาอะไรมาพิจารณาไม่ได้เลย ดังนั้นข้อมูลจึงสำคัญ ข้อมูลนั้นได้มาจาก การฟัง, การอ่าน(สุตตมยปัญญา) แล้วเอามาคิด พิจารณา (ภาวนามยปัญญา) และ ใคร่ครวญจนเกิดปัญญาอย่างแท้จริง(จินตมยปัญญ) สรุป สมาธิ--- ปัญญา(สติที่พิจารณาใคร่ครวญจนเกิดปัญญาหรือสัมมาสติ)---สัมมาสมาธิ(ความ ตั้งมั่นของจิตที่ต่อเนื่องมั่นคงอยู่กับความกระจ่างแจ้งในความเป็นจริงของ ความจริงอยู่ในใจหรือในจิต จิตจะตั้งมั่นอยู่กับปัญญาที่เกิดขึ้น) 2. ใช้ปัญญานำก่อน เริ่ม จาก การได้รับข้อมูลความจริง(สัมมาทิฏฐิ)ได้มาจาก การฟัง, การอ่าน(สุตตมยปัญญา) แล้วเอามาคิดพิจารณา (ภาวนามยปัญญา) และ ใคร่ครวญจนเกิดปัญญา อย่างแท้จริง(จินตมยปัญญ) การนำข้อมูลความจริงจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ หรือได้รับฟังจากครูบาอาจารย์ มานั้น เราต้องนำมาคิด ใคร่ครวญ ทบทวน อยู่บ่อยๆ(สัมมาสติ) การทำแบบนี้ก็จะทำให้เกิดสัมมาสมาธิได้ แต่เป็นสัมมาสมาธิระดับอ่อน จนคิดบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ จนหยั่งลึกเข้าไปในจิต จนจิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นทรงตัวอยู่กับจิตได้มากขึ้น สรุป ปัญญา(สัมมาสติ)---สมาธิ(สัมมาสมาธิ) เมื่อจิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น ข้อมูลความจริงที่ซึมซับลงไปอยู่ในจิตใต้สำนึกมากขึ้น สติก็จะเกิดเองได้บ่อยขึ้นไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด อยากจะพิจารณา แต่นึกอะไรไม่ออก... ดังนั้น ตัวปัญญาหรือข้อมูลความจริงจึงสำคัญมากๆ ควรมีมากๆ ดึงขึ้นมา นึกขึ้นมาได้เพื่อเอามาสอนจิตของเราเอง ถ้าข้อมูลที่มีอยู่ไม่พอ แล้วเราจะดึงความจริงจากตรงไหนมาพิจารณาล่ะ ขอให้ทุกท่านเจริญในความจริงตามพระสัทธรรมคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเร็วด้วยกันทุกท่าน จากคุณ : nongmew321 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10223503/Y10223503.html หัวข้อ: Re: เข้าใจการปฏิบัติใช้สมาธินำ หรือ ปัญญานำ แบบส่วนตัว เริ่มหัวข้อโดย: นาตยา ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2011, 08:26:43 am พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวว่า การฝึกจิตการข่มจิตเป็นความดี เพราะว่าถ้าทำได้สำเร็จก็จะมีความสุข เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละจสามารถนำสุขมาให้ได้จริง ฝึกจิตข่มจิตได้เพียงใด ก็จะมีความสุขเพียงนั้น
ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขของทุกคนไม่ได้เกิดแต่อื่น แต่เกิดแต่จิตของตนเท่านั้น ที่เข้าใจว่าความสุขอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ ความสุขอยู่ที่คนนั้นอยู่ที่คนนี้ หรือความสุขอยู่ที่สิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นเป็นความเข้าใจผิด ที่จริงความสุขเกิดแต่จิต ความสุขอยู่ที่จิต ถ้าจิตไม่เป็นสุขแล้ว ผู้ใดอื่น อะไรอื่น ก็หาอาจทำให้เกิดความสุขได้ไม่ เงินทองแม้มากมายมหาศาล ยศฐาบัดาศักดิ์แม้ยิ่งใหญ่ บ้านเรือนตึกรามแม้มโหฬาร วงศ์สกุลแม้สูงส่ง ก็ไม่อาจทำให้เป็นสุขได้ ถ้าใจไม่เป็นสุข ถ้าจิตเป็นทุกข์ คือเร้าร้อนอยู่ด้วยกิเลส มีโลภ โกรธ หลง เป็นสำคัญ อารมณ์ที่น่าใคร่ทั้งหลายที่มักจะมีอำนาจเหนือจิตใจที่เบา ที่อ่อน นั่นแหละเป็นเหตุสำคัญแห่งความทุกข์ความร้อนของจิต เมื่อเห็นความจริงนี้แล้ว ก็ย่อมจักยินดีอบรมจิตของตนให้พ้นจากอำนาจของกิเลส ให้เป็นจิตที่อ่อนต่ออำนาจของความดีงาม แต่ให้หนักให้แข็งต่ออำนาจของความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย เมื่อใดสามารถ อบรมจิตได้ ข่มจิตได้ แม้เพียงพอสมควร จึงจิตให้พ้นจากความอ่อนต่อความชั่วร้าย คือสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจทั้งหลาย แม้เพียงพอสมควร ก็จะได้รู้รสความสุขที่แตกต่างจากความสุขที่เป็นความร้อนเช่นที่พากันเสวย อยู่ พากันคิดอยู่ว่า เป็นความสุขที่พอใจแล้ว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9951 (http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9951) หัวข้อ: Re: เข้าใจการปฏิบัติใช้สมาธินำ หรือ ปัญญานำ แบบส่วนตัว เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2011, 10:49:13 am พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา [๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วย มรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน ฯ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะ เป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อม เกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุ นั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้น เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำ ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อม ละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้น จิตย่อมตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อ ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัย ย่อมสิ้นไป ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์ อรหัตในสำนักเรา ด้วยมรรค ๔ นี้ทั้งหมด หรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรค หนึ่ง ฯ อ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๗๕๖๔ - ๗๘๖๑. หน้าที่ ๓๑๓ - ๓๒๕. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0) ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=534 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=534) พระอานนท์แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุภิกษุณีที่ พยากรณ์การบรรลุความเป็นพระอรหันต์ ( พูดว่าได้บรรลุ ) ในสำนักของเรา ย่อมมีทางเป็นไปได้อย่างใดอย่างหนึ่ง รวม ๔ ทาง คือ ๑. เจริญวิปัสสนา ( ปัญญาอันเห็นแจ้ง ) มีสมถะเป็นหัวหน้า มรรคเกิดขึ้นเมื่อเจริญมรรคก็ละสังโยชน์ ( กิเลส ที่ร้อยรัดหรือผูกมัด ) ได้ กิเลสพวกอนุสัย ( แฝงตัวหรือนอนอยู่ในสันดาน ) ย่อมไปหมด ๒. เจริญสมถะ ( ความสงบใจ ) มีวิปัสสนาเป็นหัวหน้า แล้วหมดกิเลส ๓. เจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาคู่กัน แล้วหมดกิเลส ๔. มีจิตแยกจากความฟุ้งซ่าน ในธรรม ( วิปัสสนูปกิเลส =เครื่องทำวิปัสสนาให้เศร้าหมอง เช่น สิ่งที่ทำให้หลงเข้าใจผิด มีแสงสว่าง เป็นต้น ) จิตสงบตั้งหมั่น ในภายในมีอารมณ์เป็นหนึ่งแล้วหมดกิเลส. ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน(อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ) ขออนุญาตหามาเสริมให้ คุณครูนภา :s_good: :49: :25: โพสต์แต่เช้าเลย ไม่มีชั่วโมงสอนเด็กรึไงครับ |