หัวข้อ: ท่านตั้งใจบวชตามใคร.? | ใครเป็นครูของท่าน.? | ท่านชอบใจธรรมะของใคร.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 19, 2021, 10:00:54 am (http://dhamma.serichon.us/wp-content/uploads/2021/11/002.jpg) ท่านตั้งใจบวชตามใคร.? | ใครเป็นครูของท่าน.? | ท่านชอบใจธรรมะของใคร.? พระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวันวาน หลักธรรมคำสอนใดๆ ที่เราเห็นอยู่ในพระคัมภีร์วันนี้ เราไม่ใช่คนแรกที่เห็น บูรพาจารย์ท่านเรียนท่านดูท่านรู้ท่านเห็นมาก่อนเรา เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่อิ่มแค่ศึกษาเรียนรู้จากพระคัมภีร์ ก็ตามไปดูมติของท่านบูรพาจารย์ เมื่อศึกษาหมดสิ้นตลอดสายแล้ว ต่อจากนั้นก็ถึงทีของเราที่จะแสดงความเห็น เรามีความเห็นอย่างไรต่อหลักคำสอนนั้นๆ ก็ว่าไปได้เต็มที่ ขอเพียงอย่างเดียว-ขอให้มีความซื่อตรงสุจริต ตามธรรมดาตลอดสายของพระคัมภีร์จะไม่ขัดแย้งกัน มีแต่จะช่วยเสริมความเข้าใจให้กระจ่างแจ้งชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือความซื่อตรง ความเห็นของบูรพาจารย์ก็จะไม่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ ประเด็นไหนมีข้อเยื้องแย้ง ท่านก็จะทำเพียงแสดงเหตุผลประกอบไว้เพื่อให้ช่วยกันพิจารณา แต่จะไม่หักล้างเพิกถอน นี่ก็คือความซื่อตรง ตามที่ว่ามานี้ อาจเข้าใจไปว่าความซื่อตรงคือต้องเห็นด้วยเท่านั้น ห้ามโต้แย้ง ตรงนี้ต้องขออนุญาตขยายความพระธรรมวินัยนั้นเป็นกฎกติกาของสังคมสงฆ์ พระธรรมวินัยว่าไว้อย่างไร ใครเข้าไปอยู่ในสังคมสงฆ์ ก็หมายถึง ชอบใจในพระธรรมวินัย และพร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น เมื่อใช้สิทธิ์ในการเข้าไปเป็นสมาชิกของสังคมสงฆ์ จึงเท่ากับสละสิทธิ์ที่จะเห็นต่างหรือเห็นแย้งกับพระธรรมวินัยไปแล้ว แบบนี้ไม่ใช่เผด็จการหรือปิดกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เรายังสามารถใช้เสรีภาพในความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ตามที่เราปรารถนา แต่ต้องตั้งอยู่บนความซื่อตรง ถ้าไม่เห็นด้วย ไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อถือ ไม่ปรารถนาจะปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เราก็มีสิทธิ์ที่จะออกไปจากพระธรรมวินัยที่เราไม่เชื่อนั้นได้ทันที หมายความว่า หลักของผู้ที่เจริญแล้วในโลกนี้มีอยู่ว่า เมื่อใครชอบใจสังคมสมาคมของใคร ประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกของสังคมนั้นๆ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎกติกามารยาทของสังคมนั้นๆ กํสิ ตฺวํ อาวุโส อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, - ท่านตั้งใจบวชตามใคร โก วา เต สตฺถา, - ใครเป็นครูของท่าน กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสิ. - ท่านชอบใจธรรมะของใคร คำถามของอุปติสสปริพาชก (พระสารีบุตร) ถามพระอัสสชิเถระ __________________________________ ที่มา : ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ หน้า ๘๓ (สัญชยวัตถุ) @@@@@@@ กฎกติกามารยาทของสังคมสงฆ์ก็คือ พระธรรมวินัย เมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกของสังคมสงฆ์ ก็คือสมัครใจพอใจที่จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถ้าไม่ชอบใจ ไม่พอใจ หรือเห็นว่าไม่สามารถปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้จะด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ก็มีความซื่อตรง คือสละสิทธิ์ที่จะเป็นสมาชิกในสังคมสงฆ์ออกไปเสีย การกล่าวเช่นนี้ไม่ได้แปลว่า เสือกไสไล่ส่ง หากแต่เป็นการแสดงออกถึงความซื่อตรง สังคมที่เจริญแล้วที่ไหนๆ ก็ยอมรับกฎกติกาดังว่านี้กันทั้งนั้น ไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย โต้แย้ง ไม่ปฏิบัติตาม แต่ก็ยังอยู่ในสังคมนั้นด้วย แบบนี้คือไม่มีความซื่อตรง ที่มีปัญหาอยู่ในเวลานี้ก็เพราะความไม่ซื่อตรงแบบนี้แหละ คือ ขอใช้สิทธิ์เป็นสมาชิกของสังคมสงฆ์ด้วย แล้วก็ใช้อภิสิทธิ์ (ซึ่งตามเป็นจริงแล้วใช้ไม่ได้) ขอไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว การได้สิทธิ์อยู่ในสังคมสงฆ์ก็เพราะมีสัญญาที่จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัย การไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจึงเท่ากับบอกคืนสิทธิ์ที่จะอยู่ในสังคมสงฆ์นั่นเอง นี่คือความซื่อตรง นี่คือความตรงไปตรงมา ดังนั้น การไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่ยังถือสิทธิ์อยู่ในสังคมสงฆ์ จึงเป็นการขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว เวลานี้ความคิดและการกระทำเช่นนี้ มีแนวโน้มว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ คือ มีผู้เห็นดีเห็นด้วยกับแนวคิดและการปฏิบัติเช่นนี้กันมากขึ้น อยู่ในสังคมสงฆ์ด้วย ไม่ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วย ถ้าเป็นแบบนี้กันมากๆ สังคมสงฆ์ก็วิปริต พระธรรมวินัยก็วิปลาส และพระศาสนาก็จะวินาศในที่สุด ขอขอบคุณ :- บทความของ : พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ,๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ,๑๖:๑๑ web : dhamma.serichon.us/2021/11/11/ท่านชอบใจธรรมะของใคร/ (http://dhamma.serichon.us/2021/11/11/ท่านชอบใจธรรมะของใคร/) Posted date : 11 พฤศจิกายน 2021 ,By admin. |