สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มกราคม 08, 2022, 08:13:17 am



หัวข้อ: 5 สถานที่แปลก ลึกลับ ที่ต้องรู้ในประเทศไทย
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 08, 2022, 08:13:17 am

(https://obs.line-scdn.net/0hUOJP81kxCmB3KR3QD9p1N09_BhFETxBpVUtMUgchUlENBRgxSxtZAwUvUkxSTBllV0lFBFYpUAJfTUllGA/w1200)


5 สถานที่แปลก ลึกลับ ที่ต้องรู้ในประเทศไทย

5 สถานที่ลึกลับ ชวนพิศวง ในประเทศไทย จะมีที่ไหน อะไรบ้างไปดูกันเลย !!

1. เมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์ (เมืองที่ห้ามพูดโกหก)

เมืองลับแล เป็นชุมชนเล็กๆในจังหวัดอุตรดิตถ์ ในสมัยก่อนนั้นเป็นเมืองที่อยู่ในที่ลับมองไม่เห็น นั้นเพราะเมืองลับแลตั้งอยู่ในภูมิประเทศลี้ลับซับซ้อน เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นแต่ป่าไม้ ไม่ค่อยพบเห็นบ้านเรือน กล่าวกันว่าหากคนต่างถิ่นหลงเข้าไปในดินแดนเมืองลับแลอาจหาทางออกไม่ได้

ข้อความดังกล่าวคงจะเป็นจริง เพราะภูมิประเทศเมืองลับแลเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำแม้ดวงอาทิตย์จะยังไม่ตกดินก็มืดแล้ว ป่าบริเวณนี้จึงได้ชื่อว่า “ลับแลง”

ต่อมาได้เรียกเพี้ยนเป็นคำว่า “ลับแล” ชุมชนลับแลเป็นชุมชนที่น่ารัก โดยปัจจุบันถูกผลักดันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายภาพ เดินซื้อของ จุดเด่นของที่ จ.อุตรดิตถ์ เลยทีเดียว "โดยเขาว่ากันว่าเป็นเมืองที่คนมีบุญเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เป็นเมืองคนดี ถือวาจาสัตย์ ใครผิดสัจจะต้องออกจากเมืองไปทันที"

2. ถ้าหลวง - ขุนนางนอน ภูเขาแห่งความรักที่ไม่สมหวัง จ.เชียงราย

อุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน มีเนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ ตั้งอยู่ใน ต.โป่งผา อ. แม่สาย จ. เชียงราย โดยมีตำนานเลาขานกันว่า ณ เมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่มีรูปร่างงดงาม เหนือหญิงอื่นใดในเมือง ได้ตกหลุมรักกับชายเลี้ยงม้า ทั้งคู่ได้ตกลงปลงใจกัน จึงพากันหนีตามกันมาถึงที่ราบใกล้ริมแม่น้ำโขง

เจ้าหญิงทรงตั้งครรภ์ได้หลายเดือน จึงเดินทางไปต่อไม่ไหว ชายเลี้ยงม้าจึงอาสาไปหาอาหาร ผลไม้ มาให้เจ้าหญิง ชายเลี้ยงม้าได้ออกไปแล้วไปลับไม่กลับมาสักที เจ้าหญิงทรงแปลกใจ จึงได้สืบหาว่าชายเลี้ยงม้าหายไปไหน

จึงได้รู้สาเหตุว่า ชายเลี้ยงม้าหรือพระสวามีของเจ้าหญิงนั้นถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดา ด้วยความเสียใจ นางจึงใช้ปิ่นปักผมแทงศีรษะของตัวเองจนเลือดไหลกลายเป็นสายน้ำแม่สายในทุกวันนี้ และร่างของพระองค์ที่นอนเหยียดยาวจากทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็นดอยนางนอนจนทุกวันนี้

3. วัดวังก์วิเวการาม วัดใต้น้ำเมืองบาดาล จ.กาญจนบุรี

วัดวังก์วิเวการามถูกสร้างขึ้นโดยหลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดังที่ทั้ง ชาวไทย กะเหรี่ยง มอญ ให้ความเคารพนับถือเสมอมา โดยท่านได้ร่วมมือกับชาวบ้านสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นตามแบบ ศิลปะพม่าในปี พ.ศ. 2496 ที่บ้านวังกะล่างซึ่งระยะแรกมีเพียงกุฏิ ศาลา และมีฐานะเป็นเพียงสำนักสงฆ์เท่านั้น

ต่อมาปี พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อกักเก็บน้ำแล้ว น้ำในเขื่อนจะเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย จึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา

ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปี เหลือเพียงซากปรักหักพังของวัดและอาคารบ้านเรือน ปัจจุบันอุโบสถหลังเก่าที่จมอยู่ใต้น้ำ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ซึ่งเมื่อไหร่ที่น้ำลดระดับลง เมืองบาดาลทั้งเมืองก็จะเผยความงดงามของโบราณสถาน ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้มาเยือนเสมอๆ

4. ถ้ำพระยานคร ประจวบคีรีขันธ์

ถ้ำพระยานคร ตั้งอยู่ในเขตของ อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไฮไลท์ของถ้ำแห่งนี้คือ จะมีพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์อยู่กลางถ้ำ และในถ้ำก็จะค่อนข้างกว้างขวางและมีปล่องให้แสงส่องเข้า โดยจะยิ่งมีความงดงามยิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านจากปล่องของถ้ำลงมากระทบกับพระที่นั่งแห่งนี้ จะดูงดงามมาก

พระที่นั่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 ถ้ำพระยานครเป็นฝีพระหัตถ์ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลังโดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ มายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง

ตามประวัติเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าพระยานคร ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชได้แล่นเรือผ่านทางเขาสามร้อยยอด และเกิดพายุใหญ่ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ จึงจอดพักเรือหลบพายุที่ชายหาดแห่งนี้เป็นเวลาหลายวัน และได้สร้างบ่อน้ำเพื่อใช้ดื่ม เรียกว่า “บ่อพระยานคร”

5. ตำนานพระพุทธรูปเนื้อนิ่ม วัดบางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ

ตามตำนานเล่าสืบกันมาว่า มีพระพุทธรูป 3 องค์ ได้ลอยตามน้ำมา ผ่านย่านชุมชนหลายแห่ง คนในท้องถิ่นจำนวนมากช่วยกันอัญเชิญขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สามารถอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนฝั่งได้ ภายหลังพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ได้แยกย้ายกันไปประดิษฐานในที่ต่างๆ สำหรับองค์หลวงพ่อโตนี้ ได้ลอยเข้ามาในคลองสำโรง ชาวบ้านได้อาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ไม่สำเร็จ จึงช่วยกันต่อแพชะลอไว้ แล้วอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด"

เมื่อแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดบางพลีใหญ่ใน แพจึงหยุดนิ่ง ชาวบ้านจึงอาราธนาขึ้น ความน่าอัศจรรย์ใจได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 หลวงพ่อโต ได้แสดงปาฏิหาริย์ กล่าวคือ องค์พระซึ่งเป็นทองสำริดกลับนิ่มดั่งเช่นเนื้อคน ประดุจมีชีวิต จนหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพากันลงข่าวที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ และมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศพากันมาชมบารมี ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ได้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้ง





ขอบคุณ : https://today.line.me/th/v2/article/eLqaRJD