สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มีนาคม 14, 2022, 11:41:16 am



หัวข้อ: สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ : พระมหากัจจายนะ พระสีวลี พระอุปคุต
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 14, 2022, 11:41:16 am

(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2018/07/6-ภปรมเยส8กค-728x388.jpg)



รื่นร่มรมเยศ : สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

1.พระมหากัจจายนเถระ (พระสังกัจจายน์)

พระมหากัจจายนเถระ เป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี เดิมท่านชื่อว่า กัญจนะ เพราะมีรูปร่างสง่างาม มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เจริญวัยขึ้นได้เรียนจบไตรเพท เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วได้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดา

เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จเที่ยวจารึกประกาศหลักธรรมคำสอนตามคามนิคมชนบทอยู่นั้น พระเจ้าจัณฑปัชโชตมีพระราชประสงค์จะกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จสู่กรุงอุชเชนีของพระองค์บ้าง จึงรับสั่งให้ปุโรหิตกัจจายนะไปกราบทูลอาราธนา กัจจายนะถือโอกาสกราบทูลลาเพื่ออุปสมบทด้วย เมื่อทรงอนุญาตแล้วพร้อมด้วยบริวารติดตามอีก 7 คน เดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อเดินทางไปถึงก็รีบเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ตรัสพระธรรมเทศนาให้ฟัง

ปุโรหิตกัจจายนะพร้อมบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสมปทา เมื่ออุปสมบทแล้วได้กราบทูลอารธนาพระบรมศาสดาเสด็จสู่กรุงอุชเชนี ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางมา แต่พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านไปเอง พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองก็จะเกิดศรัทธาเหมือนกัน

พระมหากัจจายนะได้กราบทูลลาพระบรมศาสดาพาภิกษุบริวารนั้นเดินทางกลับสู่กรุงอุชเชนี ประกาศหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองเกิดศรัทธาเลื่อมใส ทำให้พระพุทธศาสนาแพร่กระจายทั่วกรุงอุชเชนีแล้ว ท่านได้เดินทางกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคอีก

เพราะท่านพระมหากัจจายนเถระเป็นผู้มีรูปร่างสง่างามดุจทองคำ เป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้นแก่บุตรเศรษฐีชื่อว่า โสเรยยะ ในเมืองโสเรยยะ ขณะที่เขานั่งบนยานพาหนะกับสหายเพื่อไปอาบน้ำพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ได้เห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวรเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วเกิดความพอใจในดวงจิตคิดอกุศลขึ้นว่า “งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเราหรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้”

@@@@@@@

ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เพศชายของเขาหายไป กลายเป็นเพศหญิงไปทั้งร่าง ทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก เขารีบลงจากยานนั้นโดยไม่มีใครรู้ แล้วเดินตามกองเกวียนพ่อค้าไปยังเมืองตักสิลา ได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น อยู่ร่วมกันจนมีบุตร 2 คน แต่เดิมทีที่เขาอยู่ในเมืองโสเรยยะนั้น เขามีภริยาอยู่แล้วและมีบุตรด้วยกัน 2 คนเช่นเดียวกัน จึงปรากฏว่าเข้าเป็นทั้งพ่อและแม่หรือเป็นทั้งผัวทั้งเมียในชาติเดียวกันนี้

ต่อมาพระมหากัจจายนะเถระจาริกมายังเมืองตักสิลาโสเรยยะได้มีโอกาสไปกราบขอขมาโทษพระเถระ เมื่อพระเถระทราบเรื่องโดยตลอดแล้วก็ยกโทษให้ เพศหญิงก็หายไปเพศชายปรากฏขึ้นมาเหมือนเดิม เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนแปลกคือเป็นทั้งชายและหญิงในอัตภาพเดียวเท่านั้น และยังคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ครองเพศฆราวาสต่อไป จึงมอบบุตรทั้ง 4 คนให้บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป ส่วนตนเองได้ขอบวชในสำนักพระเถระและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่พระภิกษุ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเห็นพระมหากัจจายนะเถระเดินมาแต่ไกลแล้วก็พากันกล่าวว่า “พระบรมศาสดาของพวกเรา เสด็จมาแล้ว” แล้วพากันทำความเคารพกราบไหว้ ทั้งนี้ก็เพราะท่านมีรูปลักษณ์ละม้ายพระผู้มีพระภาคนั่นเอง

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงภัทเทกรัตตสูตรแต่โดยย่อ แล้วเสด็จเข้าสู่พระวิหารที่ประทับ พระภิกษุทั้งหลายไม่ได้โอกาสเพื่อจะกราบทูลถามเนื้อความที่ตรัสไว้โดยย่อให้เข้าใจได้ จึงพากันเข้าไปหาพระมหากัจจายนะ อาราธนาให้ท่านเมตตาอธิบายขยายความให้ฟัง พระเถระได้อธิบายขยายความย่อให้ฟังอย่างพิสดาร แล้วกล่าวแนะนำว่า “ท่านผู้มีอายุผมเข้าใจความหมายแห่งพระสูตรนี้ตามที่อธิบายมานี้แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีความต้องการจะทราบให้แน่ชัดก็จงไปกราบทูลถามพระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์ทรงแก้อย่างไรก็จงจำไว้อย่างนั้นเถิด”

พระภิกษุเหล่านั้นพากันลาพระเถระแล้ว เข้าไปกราบทูลเนื้อความที่พระมหากัจจยนะอธิบายไว้ให้พระพุทธองค์ทรงสดับ พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญพระเถระว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัจจายนะเป็นผู้มีปัญญา เนื้อความนั้นถ้าพวกเธอถามตถาคต แม้ตถาคตก็จะอธิบายอย่างนั้นเช่นกัน ขอพวกเธอจงจำข้อความนั้นไว้เถิด”

@@@@@@@

พระสังกัจจายน์ หรือพระสังกัจจายนะ ที่ชาวพุทธทั่วไปมักเรียกเพี้ยนไปเป็นพระสังข์กระจายนั้น แท้ที่จริงก็คือพระมหาสังกัจจายนเถระ หรือพระมหากัจจายนเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในครั้งพุทธกาล พระสังกัจจายน์ที่เราเห็นกันทั่วไปในปัจจุบัน เป็นภาพหรือรูปปั้นที่อ้วน พุงพลุ้ย ใบหน้าเอิบอิ่ม ยิ้มร่าอย่างมีเมตตา เป็นการแสดงถึงการมีโชคมีลาภ มีเมตตามหานิยมแก่ผู้สักการบูชา แต่ก่อนที่จะมามีรูปลักษณ์นี้ พระสังกัจจายน์เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณผุดผ่องดุจทองคำ จนเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่คนทั่วไป เรียกว่าใครๆ ก็อยากเห็น อยากพบ อยากทำบุญด้วย เป็นเมตตามหานิยมที่เกิดขึ้นจากตัวท่านเอง จนสตรีเพศทั้งหลายต่างก็พากันหลงใหล ไปอยู่ที่ไหนก็มีสตรีหลายคนมาคอยเฝ้าดู เฝ้าชมกันอย่างไม่ลุกไปไหน จนเป็นการขัดขวางการปฏิบัติสมณธรรม ท่านจึงทูลขออนุญาตจากพระพุทธองค์ เพื่อขอแปลงกายไม่ให้หล่อเหลางดงาม ทรงมีพุทธอนุญาตให้เป็นไปตามที่ขอ

พระสังกัจจายน์จึงใช้ฤทธิ์อภิญญาของท่านแปลงกายให้อ้วนพุงพลุ้ย จนถึงต้องเอามืออุ้มไว้เพราะมันใหญ่มากแต่ใบหน้าก็ยังอวบอิ่มยิ้มร่าด้วยเมตตาบารมีแห่งความมีโชคมีลาภ ก็หมดปัญหาไปสำหรับการหลงใหลในรูปร่างหน้าตา แต่ผู้คนก็ยังติดใจในเมตตาบารมีของท่านก็ยังทำบุญกับท่านอยู่เสมอ เปรียบได้กับพระสีวลี ซึ่งเป็นพระอรหันต์แห่งโชคลาภก็ว่าได้ ในเวลาที่หมู่สงฆ์จะต้องเดินทางจาริกไปทีละมากๆ หากพระสิวลีไม่สามารถที่จะเดินทางไปด้วยได้หรือไม่อยู่ พระพุทธองค์ก็ทรงเรียกให้พระสังกัจจายน์ไปด้วย เพื่อว่าหมู่สงฆ์จะได้ไม่ติดขัดเรื่องบิณฑบาต ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อาหารบิณฑบาตก็จะเหลือเฟือไม่ขาดแคลน ถึงแม้ว่าหนทางนั้นจะมีหมู่บ้านและผู้คนไม่มากนักก็ตาม

เมื่อพระสีวลีไม่อยู่แต่พระสังกัจจายน์มาก็เหมือนกับพระสีวลีอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครสงสัย เมื่อเห็นรูปปั้นท่านประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดก็มักไปบูชาขอโชคขอลาภกันอยู่เสมอ แล้วก็นำองค์ท่านเล็กๆ ไปบูชาที่บ้าน ที่ร้าน บริษัท เพื่อกิจการค้าขาย และการดำเนินธุรกิจต่างๆ จะได้ก้าวหน้า เจริญเติบโต ด้วยบารมีของท่าน และผู้บูชาสักการะเอง

พระมหากัจจายนเถระเป็นผู้ที่เอาใจใส่สนใจในการพระศาสนามากองค์หนึ่ง ธรรมวินัยใดที่ขัดต่อภูมิประเทศ ไม่สะดวกที่สงฆ์จะปฏิบัติตามได้โดยลำบากแล้ว ท่านก็จะทูลชี้แจงขอพุทธานุญาตให้แก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้นอยู่เสมอ

พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระมหากัจจายนเถระว่าเป็นเลิศในการแสดงธรรม




ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/article/news_1032216 (https://www.matichon.co.th/article/news_1032216)
วันที่ 8 กรกฎาคม 2561 - 14:20 น.


หัวข้อ: Re: สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ : พระมหากัจจายนะ พระสีวลี พระอุปคุต
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 14, 2022, 11:48:11 am
(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2018/07/ภป-พระสีวลี-728x410.jpg)


รื่นร่มรมเยศ : สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

2. พระสีวลี

พระสีวลี เป็นพระเถระที่ชาวพุทธนับถือกันว่ามีลาภมาก พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสีวลีว่าเป็น ผู้เลิศในทางมีลาภ พระสีวลีเป็นบุตรของนางสุปปวาสา พระธิดาของเจ้าโกลิยวงศ์พระองค์หนึ่ง บิดาของพระสีวลีคือเจ้ามหาลิจฉวี ขณะที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดา ท่านนำลาภมาให้มารดาเสมอ แต่ประหลาดตรงที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 7 ปีไม่ยอมคลอด

มารดารู้สึกอึดอัดไม่น้อย นึกว่าตนเองคงมีกรรม มีเวรอะไรบางอย่าง อาจตายก่อนคลอดลูกก็ได้จึงคิดที่จะทำบุญกุศล บอกพระสวามีให้ไปทูลอาราธนาพระพุทธองค์และสั่งว่าถ้าพระพุทธองค์รับสั่งอย่างใดให้จำไว้ด้วย

พระสวามีไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยพระกระยาหาร พระพุทธองค์ตรัสว่า “ขอให้สุปปวาสาจงมีความสุข ปราศจากโรค และคลอดบุตรผู้ปราศจากโรคเถิด”

พระสวามีกราบถวายบังคมลา เมื่อกลับไปถึงวังก็ทราบว่ากุมารได้ประสูติแล้ว นางสุปปวาสาทราบพระพุทธดำรัสก็ปลื้มปีติอย่างยิ่ง บอกให้พระสวามีไปทูลอาราธนาพระองค์มาเสวยพระกระยาหารติดต่อกัน 7 วัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองบุตรเกิดใหม่

ว่ากันว่าพระกุมารน้อยได้ช่วยเอาธมกรกกรองน้ำดื่มถวายพระสงฆ์ หลังจากเกิดมาไม่นาน เป็นที่อัศจรรย์ บางท่านก็ว่ากุมารอยู่ในครรภ์ถึง 7 ปี คลอดออกมาแล้วก็ย่อมมีความสามารถดุจเด็ก 7 ขวบ แต่คัมภีร์กล่าวว่า เพราะบารมีที่กุมารบำเพ็ญมาแต่ปางก่อนจนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้กลายเป็นธรรมดาของกุมารไป มิใช่เรื่องมหัศจรรย์อันใด หากเป็นผลสัมฤทธิ์ของบุญ

@@@@@@@

พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานนามพระกุมารว่า “สีวลี” สีวลีเจริญอายุมาได้ 7 ขวบ รู้ความเป็นมาของชีวิตของตน กอปรกับบุญญาธิการแต่ปางหลังเตือน จึงสลดใจคิดอยากบวช ปรารภความนี้กับพระสารีบุตร พระสารีบุตรจึงขออนุญาตนางสุปปวาสาพระมารดา นางก็อนุญาต

สามเณรสีวลีก็สำเร็จพระอรหัตผลทันทีที่ปลงผมเสร็จนับตั้งแต่ท่านบรรพชามา ปัจจัยสี่ได้เกิดขึ้นแก่ท่านมากมายลาภผลเหล่านั้นได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์ทั้งปวงด้วย

ไม่ว่าพระสีวลีจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะทุรกันดารเพียงใดมักจะมีผู้นำอาหารบิณฑบาตมาถวายเสมอ แม้จะไปพร้อมพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ ต่างก็มีอาหารฉันอย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ความที่ท่านเป็นผู้มีลาภมาก

สมัยหนึ่งพระพุทธองค์พร้อมพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากเสด็จเพื่อไปเยี่ยมพระเรวตะ (ขทิวนิยเรวตะ) ผู้อยู่สงัดวิเวกรูปเดียวในป่าสะแก ไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง พระอานนท์กราบทูลว่าทางหนึ่งเป็นทางอ้อม ระยะทางถึง 60 โยชน์ ตามรายทางมีหมู่บ้าน อีกทางหนึ่งเป็นทางตรง ระยะทางเพียง 30 โยชน์ ไม่มีคนอยู่เลย เป็นทางทุรกันดารเราควรไปทางไหน

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “สีวลีมากับเราด้วยหรือเปล่า”
“มา พระพุทธเจ้าข้า” พระอานนท์กราบทูล
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราไปทางลัด”

@@@@@@@

แล้วพระองค์ก็เสด็จดำเนินนำหน้าไป เหตุที่พระพุทธองค์ไปทางลัด ก็เพราะทรงทราบว่า ไม่ว่าจะไปทางไหน ถ้ามีพระสีวลีไปด้วย ย่อมไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต ซึ่งก็จริงตามนั้น เหล่าเทวดาที่สิงอยู่ในป่าต่างก็นำอาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระสงฆ์ตลอดเส้นทางที่ผ่าน เพราะผลบุญของสีวลี

การที่พระสีวลีมีลาภมากก็ดี ต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาถึง 7 ปีกว่าจะคลอดก็ดีล้วนเป็นผลบุญและบาปที่ทำไว้แต่ปางก่อน ในคัมภีร์อปทาน ท่านได้เล่าอัตชีวประวัติไว้ว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระสีวลีเคยเป็นกษัตริย์เมืองหนึ่ง ท่านถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้ว ตั้งความปรารถนาอยากได้เอตทัคคะในทางผู้มีลาภ ต่อมาในอีกชาติหนึ่ง ท่านเกิดเป็นกุลบุตรผู้ยากไร้ ได้ถวายน้ำผึ้งกับนมส้มแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยศรัทธาอย่างยิ่ง ด้วยอานิสงส์แห่งผลทานนั้นท่านจึงเป็นผู้มีลาภมากในชาตินี้

ในส่วนที่ท่านต้องทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์ถึง 7 ปีจึงคลอดนั้น ท่านมิได้กล่าวไว้ แต่พระสงฆ์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเล่าว่า ในชาติหนึ่ง พระสีวลีเกิดเป็นกษัตริย์ยกทัพไปล้อมเมืองข้าศึกเพื่อเอาเป็นเมืองขึ้น ล้อมอยู่ 7 ปี จนกระทั่งชาวเมืองเดือดร้อนมาก จึงลุกฮือขึ้นจับพระราชาของตนสังหาร แล้วยกเมืองให้กษัตริย์ผู้บุกรุก เพื่อยุติปัญหา เพราะผลบาปจากเสวยผลกรรมในนรกมานาน

@@@@@@@

พิเคราะห์ตามประวัติของพระสีวลี ท่านมีลาภมากเพราะผลทานที่ถวายด้วยจิตที่เลื่อมใส ทำให้มีข้อคิดแก่เราชาวพุทธว่า ถ้าเราอยากได้อะไร เราก็ควรให้ก่อน การทำบุญทำทานคือการให้

เพราะฉะนั้นท่านที่อยากได้ลาภ ถึงกับอุตส่าห์ไปเช่าพระสีวลีมาบูชา ก็ควรปฏิบัติตามปฏิปทาของพระสีวลีนั่นคือให้รู้จักทำบุญทำทานมากๆ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มาก ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อนั้นแหละลาภผลก็จะหลั่งไหลมาสู่ท่านไม่รู้จักหมดสิ้น

คนที่เอาแต่ได้ บุญทานไม่เคยทำ ถึงจะแขวนพระสีวลีเต็มคอ ก็คงหาลาภไม่ได้อยู่ดี




ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1042186 (https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1042186)
วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 - 14:45 น.


หัวข้อ: Re: สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ : พระมหากัจจายนะ พระสีวลี พระอุปคุต
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 14, 2022, 12:06:03 pm

(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2018/07/ภป-พระอุปคุต-728x410.jpg)


รื่นร่มรมเยศ : สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์  โดย : เสฐียรพงษ์ วรรณปก

3. พระอุปคุตหรือพระบัวเข็มผู้ปราบพญามาร (ตอนที่ 1)

ผมไม่ใช่พวก “พระเครื่องนิยม” ไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง และไม่นิยมแขวนพระ แต่ก็ประหลาด ผมมีพระเครื่องมากที่สุดคนหนึ่ง คนนั้นให้บ้าง คนโน้นให้บ้าง ได้มาก็เอาใส่พานตั้งไว้ที่ห้องพระ พอนานเข้าพานใส่พระต้องเปลี่ยนใหญ่ขึ้นๆ กระนั้นก็ยังเต็ม

เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่าถ้าในพานนั้นมีพระสมเด็จแท้สักหนึ่งองค์จะ “ดูด” องค์อื่นๆ มาโดยอัตโนมัติ พูดยังกับเป็นศิษย์คุณไชยบูลย์ เจ้าของไอเดีย “พระดูดทรัพย์” แน่ะ ฮิฮิ

ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางพระพุทธศาสนา ผมรู้สึกจะถูกสัมภาษณ์โดยหนังสือพิมพ์บ้าง วิทยุบ้าง ทีวีบ้าง บ่อยๆ บางทีเราก็พูดออกไปแรงๆ จนผู้ที่เคารพนักถือบางท่านเกรงจะมีภัยก็ถอดพระถอดเหรียญจากคอตนมาให้ผมบูชา “เอาไว้ป้องกันภัย” ท่านว่าอย่างนั้น

แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็เมตตาให้พระมาคุ้มครอง พระไม่เต็มพานบัดนี้จะเต็มบัดไหนเล่าครับ
เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนาได้จัดงานแสดงมุทิตาจิตแก่ผม ที่ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ท่านประธานในพิธีได้กรุณามอบพระให้องค์หนึ่งขนาดย่อมๆ เป็นรูปพระพุทธสาวก นั่งสมาธิแหงนหน้า อุ้มบาตร มือขวาทำท่าล้วงบาตรทางเหนือเรียกว่า ท่า “จกบาตร”

ทีแรกนึกว่าเป็นพระสีวลีเถระ แต่ท่านบอกว่าเป็นพระอุปคุต หรือพระบัวเข็ม ตามตำนานทางมหายาน พระอุปคุตมีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่สาม สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชคือท่านได้ช่วยปราบพญาวสวัตตีมาร ที่มาทำลายงานฉลองเจดีย์แปดหมื่นสี่พัน จนพญามารยอมแพ้ ว่ากันอย่างนั้น

@@@@@@@

พระอุปคุต ท่านจำพรรษาอยู่ใต้ทะเล หรือ “สะดือทะเล” นานๆ จะขึ้นมาสู่โลกสักครั้งหนึ่ง ชาวไทยภาคเหนือภาคอีสาน รวมพม่าด้วย จะคอยใส่บาตรท่าน ในคืนวันพุธที่ตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ เชื่อกันว่าท่านบิณฑบาตกลางคืน ว่าอย่างนั้น

ไม่รู้ว่าความเชื่อนี้มีความเป็นมาอย่างไร และเหตุใดในวงการพระเครื่องจึงเรียกรูปหล่อรูปปั้น หรือพระพิมพ์ของท่านว่า พระบัวเข็ม เห็นจะต้องอธิบายเพื่อความเข้าใจแล้วละครับ

ตำนานทางฝ่ายเถรวาท มิได้พูดถึงพระอุปคุตว่ามีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมีแต่ตำนานของฝ่ายมหายาน หรืออาจจะมาจากสรวาสติวาทินก็ได้

พูดอย่างนี้ ถ้าไม่ขยาย ผู้อ่านก็อาจไม่กระจ่าง คืออย่างนี้ครับ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 3 พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากในประเทศอินเดีย เพราะพระเจ้าอโศกทรงทะนุบำรุงอย่างดี พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ อยู่ดีสบาย จึงมีพวกนอกศาสนา อันศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า “อัญเดียรถีย์” (แปลว่าผู้นับถือลัทธิอื่น) หวังอยากสบายบ้าง จึงพากันมาปลอมบวช คือบวชเอาเอง บวชมาแล้วก็ไม่ศึกษาปฏิบัติ แสดงธรรมผิดๆ ถูกๆ พระสงฆ์ผู้ทรงศีลรังเกียจ ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วย

พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาจะเห็นพระสงฆ์สามัคคีกันจึงรับสั่งให้มหาอำมาตย์คนหนึ่งไป “จัดการ” ให้เรียบร้อย เจ้าหมอนี่แทนที่จะจัดการให้เรียบร้อย กลับสร้างความวุ่นวาย คือแกตัดคอพระเถระ ที่ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมกับพวกอัญเดียรถีย์ไปหลายองค์

พระเจ้าอโศกปรารถนาจะ “ล้างบาป” จึงให้ความสนับสนุนพระมหาเถระ อันมีโมคคัลลีบุตรเป็นประธาน กระทำสังคายนาคือ “ชำระสังฆมณฑลให้บริสุทธิ์” หลังสังคายนาเสร็จก็ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดน ดังที่ประเทศสยามก็ได้มีพระโสณะกับพระอุตตระเดินทางมาสมัยโน้นเรียกว่า สุวรรณภูมิ ศูนย์กลางสุวรรณภูมิว่ากันว่าคือ นครปฐม ปัจจุบันนี้เอง

@@@@@@@

ในการทำสังคายนาครั้งนี้ไม่มีชื่อพระอุปคุต หรือมีแต่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ได้ แต่จากหลักฐานของฝ่ายมหายานนั้นมีแม้กระทั่ง พระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็มีกล่าวถึงพระอุปคุตเช่นกัน

ความว่า นาคถูกครุฑไล่ตาม นาคไปขอร้องให้พระสงฆ์ช่วย ไม่มีรูปใดมีฤทธิ์พอจะปราบได้ บังเอิญเณรน้อยรูปหนึ่งรับอาสาไล่ครุฑไปได้ จึงปรากฏชื่อเสียงโด่งดัง

พอพญาวสวัตตีมารจะมาทำลายพิธีเฉลิมฉลองพระเจดีย์ และสังคายนาครั้งที่สามที่พระเจ้าอโศกทรงอุปถัมภ์ เมื่อทราบว่าเณรน้อยมีฤทธิ์มาก จึงไปขอให้เณรน้อยช่วยปราบ เณรน้อยบอกว่าตนไม่สามารถปราบพญามารได้มีแต่พระอุปคุตเท่านั้นที่จะปราบได้ และรับอาสาไปนิมนต์พระอุปคุตให้ขึ้นมาจากสะดือทะเลมาช่วย

เมื่อพระอุปคุตมาแล้ว ก็ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลมิให้พญามารมารบกวนพิธี

มารบอกว่า อุปคุตอุปแค็ตข้าไม่กลัว ข้านี้คือพญามารนะจ๊ะ พระอุปคุตก็ปรามว่า “พระสงฆ์และพระราชากำลังทำสังคายนานะจ๊ะมารอย่ายุ่ง”

กำลังจะเข้าฉากต่อสู้แล้ว แต่อดใจไว้ก่อน โปรดติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า




ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/columnists/news_1051287 (https://www.matichon.co.th/columnists/news_1051287)
วันที่ 22 กรกฎาคม 2561 - 13:00 น.



(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2018/07/ภป-พระอุปคุต-1-728x410.jpg)



รื่นร่มรมเยศ : สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์  : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

3. พระอุปคุตหรือพระบัวเข็มผู้ปราบพญามาร (ตอนที่ 2)

พญามารก็จำแลงกายเป็นพญานาคใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มพ่นควันพิษฟุ้งตลบเลยเชียว พระเถระก็จำแลงกายเป็นครุฑใหญ่โฉบมาขยุ้มพญานาค ต่อสู้กันพัลวัน สู้กันไปสู้กันมาพญามารในคราบพญานาคเห็นจะสู้ไม่ไหว ก็วิ่งหนีไป พระเถระจึงเสกหนังหมาเน่าเหม็นฟุ้งซัดไปผูกคอพญามาร

มารสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวจาตุมหาราช จนกระทั่งพรหม ก็ไม่มีใครช่วยปลดหนังหมาเน่าออกจากคอมารได้ เหม็นคลุ้งไปทั่วพิภพ

ท้ายที่สุดจำต้องมาขอร้องให้พระอุปคุตปลดให้ ยอมแพ้แต่โดยดี พระเถระขอคำมั่นจากพญามารว่าจะไม่มาขัดขวางงานบุญครั้งนี้ พญามารก็รับ ท่านจึงปลดหนังหมาเน่าออกจากคอพญามาร แต่เพื่อความแน่ใจท่านจึงผูกพญามารไว้กับเขาพระสุเมรุจนกว่างานจะสำเร็จ

พญามารน้อยใจพระเถระ ทั้งที่ยอมแพ้และให้คำมั่นแล้ว พระเถระก็ยังใจร้ายมัดแกไว้อีก จึงเอาตีนกระทืบเขาจนสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน พญามารกล่าวว่า “เพราะข้าได้หลงทางผิด จึงถูกทรมานอย่างนี้ ต่อแต่นี้ข้าจะขอกลับเนื้อกลับตัว ขอปรารถนาพุทธภูมิเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ”

@@@@@@@

พระเถระเดินทางมาดูพญามาร พอดีได้ยินคำปรารถนาของพญามาร จึงสาธุการขึ้นดังๆ แล้วแก้มัดพญามาร แล้วขอร้องให้พญามารเนรมิตรูปพระพุทธเจ้าให้ดู เพราะตนเกิดไม่ทันพระพุทธองค์

พญามารกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าเนรมิตพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว ขออย่าได้นมัสการเป็นอันขาด เพราะมิใช่พระพุทธองค์จริง พระเถระก็รับคำ แล้วกล่าวว่าไหนๆ จะเนรมิตแล้วก็ขอให้พระราชา พระสงฆ์ และประชาชนได้ทัศนาด้วย เป็นอันตกลงตามนั้น

ว่ากันว่า พระพุทธเจ้า ที่พญามารเนรมิตนั้น งดงามด้วยมหาปุริสลักษณะ และอนุพยัญชนะ 80 ประการ สง่างามสมดังตำราว่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน พระเถระและประชาชนต่างก็ก้มถวายบังคมโดยทั่วหน้ากัน

พญามารต่อว่าพระเถระว่า ไหนรับปากแล้วจะไม่ไหว้อย่างไร ทำไมจึงลืมสัญญา พระเถระตอบว่า เห็นพระพุทธองค์แล้วรู้สึกปลาบปลื้มปีติลืมตัว จึงถวายบังคมไม่ทันนึกว่าเป็นรูปเนรมิต แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นรูปพระพุทธองค์

พระเถระกล่าวกับพญามารว่า “ดูกรพญามาร ท่านได้กระทำการเป็นบุญกุศลมหาศาล ที่ได้เนรมิตรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อาตมาและประชาชนได้ทัศนาและนมัสการ ท่านเองก็มีจิตใจน้อมไปในโพธิญาณปรารถนาภาวะพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจงไปตามสมควรแก่คติของท่านเถิด”

พญามารจึงนมัสการพระอุปคุตแล้วหายวับไป ณ บัดนั้นแล

@@@@@@@

ว่ากันว่า ตั้งแต่บัดนั้นมา พญามารมิได้ตามรังควานใครๆ ที่ทำบุญกุศลอีกเลย แต่เพราะเคยทำความไม่ดีมาเยอะ คนจึงกล่าวขวัญถึงมารในแง่ไม่ดี และน่าเกลียดน่ากลัวจนกระทั่งบัดนี้ ลบยังไงก็ลบไม่หมด ว่าอย่างนั้นเถอะ

ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้พระราชนิพนธ์เรื่องพระอุปคุตไว้ตอนหนึ่งว่า “มีชาวเมืองย่างกุ้งคนหนึ่ง ได้ตักบาตรแก่พระอุปคุตเถระแล้วได้เป็นเศรษฐี ชาวเมืองย่างกุ้งทั้งปวงจึงพากันหุงข้าวแต่ยังไม่สว่าง คอยตักบาตรพระอุปคุตเถระ จนทุกวันนี้ก็ยังมีความนับถือพระอุปคุตเช่นนี้แพร่หลายมากขึ้น”

นี่คือเหตุผลที่ทำไมชาวพม่า ชาวไทย ภาคเหนือ และภาคอีสาน นับถือพระอุปคุตมาก เพราะเล่าลือว่า ท่านสามารถบันดาลผู้ตักบาตรให้เป็นเศรษฐีทันตาเห็น ได้เป็นจริงๆ ไม่ใช่หลอกดูดเอาเงินเขาไปจนหมดแล้ว ให้พระดูดทรัพย์มาเก็บไว้นั่นแหละเครื่องดูดละครับ พระดูดทรัพย์นั้น จะมีแต่ดูด ดูด เอาเงินจากท่านไปจนหมดตูด ยังไม่รู้ตัวอีก อนิจจา

เชื่อกันอีกนั่นแหละว่า ท่านพระอุปคุตยังไม่นิพพาน (ในที่นี้แปลว่าดับขันธ์) เพราะท่านเจริญอิทธิบาทจนถึงขั้นมีอิทธิฤทธิ์อธิษฐาน “ต่ออายุ” ให้อยู่เป็นกัปเป็นกัลป์ได้

(หมายเหตุ นี้เป็นความเชื่อครับ ที่จริงเป็นไปไม่ได้พระพุทธเจ้าเองตรัสไว้จริงว่า ผู้เจริญอิทธิบาทสมบูรณ์เต็มที่แล้ว สามารถต่ออายุได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่าเล็กน้อย แต่คำว่า “กัป” ในที่นี้หมายเอาเพียง 10 หรือ 20 ปีเท่านั้น มิใช่เป็นกัปเป็นกัลป์อย่างที่เราเข้าใจ)

ก็เพราะเชื่อนั่นแหละ คนถึงได้ตื่นขึ้นมาหุงข้าวตั้งแต่ดึก เพื่อเตรียมใส่บาตรท่าน ขืนไม่หุงแต่ดึก ก็จะไม่ทัน ท่านมาแล้วจะไม่มีข้าวใส่บาตร เพราะเหตุนี้เหมือนกันคนจึงกล่าวว่า ท่านพระอุปคุตมาบิณฑบาตตอนดึก และก็คงฉันดึกๆ ด้วยว่าไปโน่น

@@@@@@@

ผมเองสมัยยังเด็ก เห็นพ่อผมตั้งซุ้มหน้าบ้าน เอาผ้าไตรไปวางใส่พานไว้ แล้วก็สั่งให้แม่นึ่งข้าว ตั้งแต่ประมาณเที่ยงคืนแล้วก็ร้องถามว่า ข้าวสุกหรือยัง ครั้นแม่ร้องบอกว่า จวนแล้ว รอเดี๋ยว เสียงพ่อก็บ่นตามมาว่า ชักช้า เดี๋ยวท่านมาจะไม่ทัน

ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่อง และเมื่อโตมาก็ไม่เห็นพ่อทำอย่างนั้นอีก ประเพณีนี้ดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว

ลืมถามพ่อว่า พ่อเคยได้ใส่บาตรพระอุปคุตจริงหรือเปล่า หรือ “จินตนาการ” เอา เรื่องของความเชื่อครับ เราไม่เชื่อก็อย่าดูหมิ่น

พระอุปคุตได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า “พระบัวเข็ม” บัวและเข็ม มาเกี่ยวอะไรกับท่าน ผมก็เลือนๆ จำได้ว่ามีตำนานพม่าเล่าว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีพระองค์หนึ่ง มียานวิเศษพาเหาะไปไหนๆ ได้ (สมัยนี้เรื่องเล็ก เขามีเครื่องบินส่วนตัวแล้ว ไปไหนก็ได้ แต่เครื่องตกไปหลายคนเหมือนกัน)

วันหนึ่งเหาะผ่านชายป่าแห่งหนึ่ง เห็นพระรูปหนึ่งเดินลุยโคลน บนศีรษะมีใบบัวคลุมอยู่ อีกใบเอาเป็นภาชนะเก็บกุ้งหอยปูปลา เพื่อนำไปปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ เพราะหนองน้ำนั้นกำลังจะแห้งขอด

พระเจ้ากรุงหงสาวดีนึกตำหนิในใจว่า พระอะไรมาลุยโคลนจับกุ้งหอยปูปลา ไม่น่าดูเลย เอาไปกินหรือเปล่าไม่รู้ ทันทีที่คิดจบยานวิเศษหยุดแล่นและตกลง (ดีที่ไม่คอหักตาย)

ทรงสำนึกผิด ว่าได้ล่วงเกินพระผู้ทรงคุณวิเศษเสียแล้ว จึงรีบไปจะกราบขอขมา ปรากฏว่าท่านหายวับไปแล้วไร้ร่องรอย

@@@@@@@

พระเจ้ากรุงหงสาวดีเมื่อกลับเมืองจึงสละยานนั้นแกะสลักเป็นรูปท่านถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องจากไม่ทันสังเกตลักษณะหน้าตาของท่าน จึงทำให้มีเพียงใบหน้า ไม่มีนัยน์ตา จมูก และปาก รูปแกะสลักนี้ประดับแก้วศักดิ์สิทธิ์ 9 เม็ด

มีใบบัวปกเศียร และมีหมุดปักอยู่ตามหัวไหล่ ตามเข่า หลายแห่ง จึงเรียกว่า “พระบัวเข็ม” (คือพระที่มีบัวและเข็มตามองค์นั่นแล) และที่ขาดไม่ได้ จะต้องมีรูปบัวและกุ้งหอยปูปลาที่ฐานพระด้วยจึงจะครบเครื่อง

พระอุปคุตมีอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ คือแบบพระมารวิชัย ก้มหน้า มีหมุด หรือเข็มปักตามส่วนต่างๆ กับแบบนั่งแหงนหน้า มือหนึ่งทำท่า “จกบาตร” (ล้วงบาตร) แบบนี้เรียกว่า “พระอุปคุตจกบาตรพิชิตมาร” องค์นี้แหละครับที่พระวัดสวนดอกเมตตาให้ผมมา

ทุกวันผมก็ได้แต่ภาวนาว่า เมื่อไรท่านจะ “จก” เอามารพระพุทธศาสนาในคราบผู้นุ่งเหลืองมา “จิก” หัวให้สมองฝ่อทั้งแก๊งหนอ อมิตาภพุทธ

มัวแต่ตื่นเต้นกับอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านอุปคุต ลืมเล่าประวัติว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ก็ขอเล่าย่อๆ พอได้ความก็แล้วกันนะครับ

พระอุปคุตเถระเป็นบุตรพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งเมืองมถุรา มีพี่น้อง 3 คนเป็นชายล้วน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง บิดาท่านให้สัญญากับพระเถระรูปหนึ่งนามสาณวาสี ว่าถ้าได้บุตรชายจะให้บวชเป็นศิษย์พระเถระ พอได้บุตรชายคนแรกมาก็ไม่ให้บวช ได้คนที่ 2 มาก็ไม่ให้บวช พอถึงคนที่ 3 บิดาท่านไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรต่อไป จำต้องให้บุตรชายคนเล็กนามอุปคุตบวชตามสัญญา บวชแล้วไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวกิเลส) ด้วยประการฉะนี้แล



ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/article/news_1061419 (https://www.matichon.co.th/article/news_1061419)
วันที่ 29 กรกฎาคม 2561 - 14:20 น.