หัวข้อ: หน้าที่ของมนุษย์ - พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 26, 2022, 10:48:03 am (https://obs.line-scdn.net/0hv7vEfyuoKRhLPD1GnHxWTx1qKnd4UDobLwp4GxdSfnxuWD4bcw96d2g1fzRjDG8ba1JvfD0gJHszX2pKIFw2dm0_dyA0XGpLflsjfzk6cClmDWg/w1200) หน้าที่ของมนุษย์ - พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ เราได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากเย็น แล้วเมื่อได้เกิดมาแล้ว หน้าที่ของมนุษย์หลัก ๆ นั้นมีอะไรบ้างมาลองมาศึกษากัน @@@@@@@ สร้างประโยชน์ชาตินี้ เราต้องตั้งเนื้อตั้งตัว เลี้ยงตนเองได้ ตอนยังเด็กให้ตั้งใจเรียนจะได้มีความรู้แล้วตั้งใจทำงาน นกตัวเล็ก ๆ ยังสู้อุตส่าห์สร้างรังได้ หนูยังสามารถขุดรูอยู่ได้ เราเกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องเอาดีให้ได้ต้องทุ่มเททำเต็มที่ แต่ไม่ต้องไปตั้งความหวังมากเกินกำลัง และให้ลงมือทำอย่างตั้งใจ ทุ่มเทที่การประกอบเหตุ คือความวิริยอุตสาหะ เดี๋ยวผลดีจะตามมาเอง ไม่ใช่เอาใจเราจดจ่ออยู่แต่กับผลที่ปรารถนา สร้างแรงกดดันให้ตนเองโดยไม่จำเป็น ไม่คาดหวังจนกลายเป็นแรงกดดันในใจมากเกินไป ความจำเป็นจริง ๆ แค่เรามีปัจจัยสี่ครบเพื่อความสะดวกสบายพอสมควร เที่ยวบ้างกินบ้างพอสมควร ก็เพียงพอในชีวิตแล้ว สร้างประโยชน์ชาติหน้า การทำความดีหมั่นสร้างบุญกุศลคือสาระที่แท้จริง ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ตายแล้วเอาไปไม่ได้แม้แต่บาทเดียว ชื่อเสียงเกียรติยศกองอยู่บนโลกทั้งหมด รูปร่างหน้าตาหล่อสวยแค่ไหนก็กองอยู่บนโลก ขนาดยังไม่ทันจากโลกนี้ไป แค่แก่ชราอายุ 70 ปี ยังไม่หลงเหลือความหล่อความสวยให้เห็นแล้ว มันกองบนโลกหมด ยศศักดิ์ตำแหน่งมีเท่าใดก็กองอยู่บนโลก เอาติดตัวไปไม่ได้ ที่ติดตัวไปได้มีอย่างเดียวคือบุญในตัวเท่านั้น เมื่อเรารู้หลักความจริงนี้แล้ว ก็ให้ตั้งใจทำความดีสร้างบุญกุศล บาปกรรมควรหลีกเลี่ยง อย่าไปทำ แล้วสั่งสมบุญไปเรื่อย ๆ จะสร้างประโยชน์อย่างยิ่ง สร้างประโยชน์อย่างยิ่ง แม้เราสร้างบุญกุศลตายไปเกิดบนสวรรค์ แต่เมื่อบุญหมดก็จะต้องกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีก ถ้าเผลอไปทำบาปก็จะตกนรก ยังไม่แน่นอน จะให้พ้นทุกข์ถาวร ต้องตั้งสติ ตั้งใจฝึกตนจนหมดกิเลส เห็นพระนิพพานด้วยการหมั่นสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา ทำบุญทำทาน สุดท้ายเราจะเข้าใกล้สู่หนทางพระนิพพาน พ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดในที่สุด หากคนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป ก็ขอให้เน้นสร้างประโยชน์ชาตินี้ให้ได้ แล้วตั้งใจสร้างบุญกุศลให้เกิดประโยชน์ชาติหน้าด้วยก็ได้ @@@@@@@ พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคราวหนึ่งท่านไปกราบลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจาริกไปที่อื่น พร้อมกับลาพระภิกษุรูปอื่นด้วย แต่เนื่องจากพระภิกษุมากรูปด้วยกัน จึงลงได้ไม่ทั่วถึงทุกรูป มีพระภิกษุรูปหนึ่งน้อยใจเพราะยังไม่หมดกิเลสถึงกับไปฟ้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรแกล้งทำจีวรกระทบตนเองแล้วไม่กล่าวขอโทษ ถือดีว่าเป็นอัครสาวก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้อยู่แล้วด้วยข่ายพระญาณ แต่เพื่อให้ความจริงปรากฏพระองค์จึงเรียกประชุมสงฆ์ โดยให้คนไป ตามพระสารีบุตรกลับมาถาม พระสารีบุตรตอบว่าท่านเองมีความตระหนักตลอดว่า ตนเองเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว เหมือนโคที่เขาขาดแล้ว เหมือนเด็กจัณฑาลที่หลงเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่เคยถือตัวอวดหยิ่งอะไรเลย พอท่านวางใจของท่านอย่างนี้ก็มีความสุข สุดท้ายพระภิกษุรูปนั้นที่มากล่าวโทษต้องกราบขอโทษพระสารีบุตร เพราะความเร่าร้อนเกิดขึ้นในใจที่ไปกล่าวหาใส่ความผู้มีคุณธรรมสูง การวางใจของพระสารีบุตรอย่างนี้ทำให้ใจสบาย ไม่เครียด มีความสุขในทุกที่ทุกสถาน แม้ว่าจะยังไม่หมดกิเลสก็ตาม ย้อนกลับมาดูตัวเราที่เป็นคนธรรมดา กลับสร้างภาพคาดหวังตนเองไว้สูง คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องประเมินตนเองสูงจนกดดันตนเอง พอมีอะไรไม่ได้ตามคาด หรือคนรอบข้างมองมาด้วยความไม่เข้าใจบ้าง เข้าใจผิดบ้าง เห็นว่าเราไม่สำเร็จอย่างที่เขาคาดหวังไว้บ้าง ก็เลยมีแรงกดดันตนเองอย่างมากจนทำให้เครียด กลัดกลุ้มใจ ให้เราย้อนกลับมาพิจารณาตนเองใหม่ วางความคาดหวังตนเองไว้ให้ถูกต้องโดยมีพระสารีบุตรเป็นต้นแบบ แล้วเข้าใจความจริงของชีวิต เราจะปกป้องรักษาใจตนเองได้ในทุกสภาวการณ์ เจริญพร Thank to : https://today.line.me/th/v2/article/Yajk7Xj เผยแพร่ 22 มี.ค. เวลา 21.16 น. • พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ |