หัวข้อ: หลวงพ่อโสธร : ระหว่างศรัทธากับการอนุรักษ์ (1) เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 14, 2022, 05:45:30 am (https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2022/05/ชาตรีใหม่-copy-3-696x363.jpg) หลวงพ่อโสธร : ระหว่างศรัทธากับการอนุรักษ์ (1) หากใครมีโอกาสเดินทางไปนมัสการ “พระพุทธโสธร” (หลวงพ่อโสธร) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของ จ.ฉะเชิงเทรา และของประเทศไทย สิ่งที่ทุกคนจะพบเห็นเมื่อเดินทางไปถึงก็คือการแบ่งพื้นที่การกราบไหว้ออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ (ในปัจจุบันกำลังมีการก่อสร้างซึ่งจะทำให้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งประเด็นนี้จะกล่าวถึงในสัปดาห์หน้า) ส่วนแรก คือ พระอุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่ (ในตำแหน่งที่เคยเป็นพระอุโบสถหลังเดิม) ในช่วง พ.ศ.2530 ซึ่งสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้อย่างเป็นทางการไปตั้งแต่เมื่อราว พ.ศ.2549 โดยอาคารหลังนี้คือที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธร “องค์จริง” ความพิเศษของการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ในครั้งนั้น คือ ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการ ไม่ต้องการย้ายหลวงพ่อโสธรองค์จริงออกจากที่ตั้งเดิม ทำให้ต้องมีการสร้างโครงสร้างปิดคลุมองค์พระเอาไว้ในขณะก่อสร้าง ผลที่ตามมาก็คือ ประชาชนและผู้มีจิตศรัทธาในหลวงพ่อโสธรไม่สามารถเข้ามาสักการะองค์พระได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของการจัดเตรียมอาคารในพื้นที่ส่วนที่สองขึ้น โดยเป็นวิหารชั่วคราวเพื่อประดิษฐานหลวงพ่อโสธร “องค์จำลอง” สำหรับให้ผู้คนได้มากราบไหว้ ในช่วงระหว่างรอการก่อสร้าง ที่กินเวลายาวนานร่วม 20 ปี @@@@@@@ สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อพระอุโบสถหลังใหม่แล้วเสร็จ ผู้คนเป็นจำนวนมากกลับยังคงเดินทางมาสักการะหลวงพ่อโสธรองค์จำลองในวิหารชั่วคราวที่มิได้ถูกการออกแบบอย่างหรูหราอลังการแต่อย่างใดเลย (หากเทียบกับพระอุโบสถหลังใหม่) มากเสียยิ่งกว่าองค์จริงในพระอุโบสถ อย่างมีนัยยะสำคัญ ผมเองสังเกตปรากฏการณ์นี้ด้วยความสนใจ และเกิดคำถามทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมว่า ทำไมหลวงพ่อโสธรองค์จริง หลังจากเปิดให้คนมากราบไหว้อีกครั้งหลังปิดตายไปเกือบสองทศวรรษ ซึ่งควรจะได้รับความศรัทธาล้นหลาม กลับดูเสมือนว่าความนิยมจะสู้องค์จำลองไม่ได้เสียแล้ว หลังจากตามสังเกตอยู่พอสมควร ผมพบว่า สาเหตุสำคัญประการแรก คือ การออกระเบียบปฏิบัติในการสักการะองค์จริงภายในพระอุโบสถหลังใหม่ ที่ไม่เอื้อต่อการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของผู้คนอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นห้ามการจุดธูปเทียนบูชา ห้ามปิดทอง ห้ามถวายไข่ต้ม และห้ามการรำแก้บนในพระอุโบสถ เป็นต้น โดยพิธีกรรมทั้งหมดนี้อนุญาตให้ทำได้กับองค์จำลองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ประชาชนส่วนมากที่เกือบทั้งหมดคือคนที่เดินทางมาเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเลือกมากราบไหว้กับองค์จำลองเป็นหลัก ภาพที่ปรากฏจึงทำให้เรามองเห็นผู้คนมากราบไหว้องค์จำลองอย่างแน่นขนัด จนคนทั่วไปที่มิได้ทราบประวัติความเป็นมาอาจเข้าใจผิดได้ว่าองค์จำลองคือองค์จริง @@@@@@@ เหตุผลประการที่สอง คือ หลังจากที่พระอุโบสถสร้างเสร็จ กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะหลวงพ่อโสธรองค์จริงครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2549 โดยมีการนำทองคำเปลวที่ปิดทับอยู่บนพระพักตร์ของหลวงพ่อโสธร ซึ่งมีการปิดทับต่อเนื่องกันมายาวนานหลายสิบปี (หรืออาจเป็นร้อยปี จนพุทธลักษณะเปลี่ยนไปมากจากเมื่อแรกสร้าง) ออกทั้งหมด การลอกทองคำเปลวออกในครั้งนั้น ทำไปบนฐานคิดว่าด้วยเรื่องการอนุรักษ์ที่ต้องการย้อนกลับไปหาสภาพเดิมแท้ของหลวงพ่อโสธรที่ถูกต้อง (และนี่จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญอีกอย่างของการห้ามปิดทองลงบนองค์จริงอีกต่อไป) แต่ภายใต้แนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งน่าสนใจมากคือ พุทธลักษณะเดิมแท้ที่ถูกต้องดังกล่าว กลับกลายเป็นพุทธลักษณะที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนทั่วไป เพราะมิได้มีผู้คนเห็นหน้าตาเดิมแท้ดังกล่าวมาหลายชั่วอายุคนแล้ว จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจของคนเป็นจำนวนไม่น้อย ณ ขณะนั้น ที่โจมตีกรมศิลปากรว่าทำการบูรณะผิดพลาดจนหน้าตาหลวงพ่อโสธรเปลี่ยนไป แม้ต่อมาทุกคนจะยอมรับว่าการบูรณะไม่มีอะไรผิดพลาด แต่การบูรณะดังกล่าวได้เข้ามากระทบกับภาพจำของหลวงพ่อโสธรที่สืบทอดต่อมาหลายชั่วอายุคน (รวมถึงภาพถ่าย เหรียญที่ระลึก พระพิมพ์ ฯลฯ เป็นจำนวนมหาศาลที่กระจายไปอยู่กับประชาชนทั่วไปมาหลายสิบปีที่ล้วนแต่เป็นพุทธลักษณะแบบที่ถูกพอกทับด้วยทองคำเปลวจำนวนมากทั้งสิ้น) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลที่ตามมาได้ก่อให้เกิดการกลับหัวกลับหางกันทางความหมายระหว่างองค์จริงกับองค์จำลองที่น่าประหลาด กล่าวคือ หลวงพ่อโสธรองค์จริง แม้ว่าจะเป็นของแท้ แต่กลับมีหน้าตาที่ไม่คุ้นเคย ในขณะที่องค์จำลอง ซึ่งไม่ใช่ของแท้กลับกลายมาเป็นองค์ที่มีหน้าตาคุ้นเคยตามความเชื่อดั้งเดิมของผู้คนมากกว่า (ดูภาพประกอบ) จนทำให้หลวงพ่อโสธรองค์จำลองก้าวขึ้นมารับบทบาทหน้าที่และความหมายของ “หลวงพ่อโสธร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานเก่าแก่ของผู้คน แทนที่หลวงพ่อโสธรองค์จริงอย่างช้าๆ และมากขึ้นๆ โดยลำดับ (https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2022/05/%E0%B8%99.36.jpg) ภาพเปรียบเทียบพุทธลักษณะหลวงพ่อโสธร : ภาพซ้ายคือองค์จริงก่อนบูรณะ ภาพกลางคือองค์จริงหลังบูรณะและนำทองคำเปลวออก ส่วนภาพขวาคือองค์จำลองที่มีพุทธลักษณะเหมือนองค์จริง (ก่อนที่จะทำการบูรณะ)ไม่ปฏิเสธนะครับว่า องค์จริงยังคงได้รับการกราบไหว้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเราสังเกตให้ดี ก็คงไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า ในเชิงปริมาณแล้ว ผู้คนให้ความสำคัญกับองค์จำลองมากกว่าองค์จริง ปรากฏการณ์ทั้งสองอย่าง (การห้ามทำพิธีกรรมกับองค์จริง และการลอกทองคำเปลวออกจากองค์จริง) บอกอะไรแก่เรา ผมอยากเสนอว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนโลกทัศน์ 2 ชุดในการให้ความหมายแก่ “หลวงพ่อโสธร” ที่แตกต่างกัน ระหว่างความหมายของการเป็น “วัตถุแห่งศรัทธา” อันศักดิ์สิทธิ์แบบจารีตดั้งเดิมในสังคมไทย กับความหมายของการเป็น “วัตถุแห่งการอนุรักษ์” ซึ่งเน้นคุณค่าทางศิลปะอันสูงส่ง และให้ความสำคัญกับการคงสภาพเดิมแท้เอาไว้ไปตลอดการ แม้ความหมายทั้ง 2 แบบมิได้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายแต่ละแบบเรียกร้อง “การมอง” และ “การปฏิบัติ” ที่มีต่อวัตถุในแบบที่แตกต่างกันอย่างมาก แบบแรก เรียกร้องการมองที่ไม่จำเป็นต้องสนใจในรายละเอียดของวัตถุมากนัก ความชัดเจนของการมองไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความมืดสลัวตลอดจนมุมมองที่ไม่เอื้อให้เรามองเห็นพระพุทธรูปที่ชัดเจนนัก บางครั้งคือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์และศรัทธาบังเกิดขึ้น ที่สำคัญคือ การสัมผัสจับต้องและการปฏิบัติบูชาผ่านการปิดทอง จุดธูป ห่มผ้า รำแก้บน ฯลฯ คือเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ความหมายชุดแรกดำรงอยู่ได้ เพราะเป็นเสมือนการส่งผ่านอำนาจเหนือธรรมชาติมาสู่ผู้คนที่ทำการสักการบูชา @@@@@@@ ในขณะที่ความหมายแบบที่สอง พระพุทธรูปคือศิลปวัตถุที่แสดงออกถึงความงามหรือคุณค่าทางศิลปะที่สำคัญของชาติ ดังนั้น การปกป้องรักษาเพื่อให้คงคุณค่าทางรูปแบบศิลปะดั้งเดิมเอาไว้มากที่สุดจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ การสัมผัสหรือปิดทองจึงเสี่ยงต่อการทำลายความหมายชุดนี้ สิ่งที่ตามมาคือ ความต้องการที่จะเพ่งมองอย่างชัดเจนในทุกอณูองค์ประกอบของพระพุทธรูปเพื่อที่ผู้มองจะสามารถรับรู้ เข้าใจ รวมไปถึงซึมซาบคุณค่าทางศิลปะได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปสู่การมองเห็นว่ารัฐและชาติของตนเองนั้นยิ่งใหญ่ หรือมีความเจริญมากเพียงใด จนสามารถที่จะสร้างศิลปวัตถุที่ทั้งงดงามและยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ ดังนั้น ทองคำเปลวแห่งศรัทธาที่พอกทับทับกันมาร่วมศตวรรษจึงไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะมันได้เข้ามาบดบังรูปแบบศิลปะที่สวยงามและสูงส่งของชาติจนหมดสิ้น สำหรับผู้ที่คุ้นเคยในแวดวงประวัติศาสตร์และโบราณคดี การมองและการปฏิบัติต่อวัตถุในแบบที่สองนี้ ก็คือการมองและปฏิบัติที่ปรากฏอยู่ในวัตถุจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง และจึงไม่แปลกที่หากเราเดินเข้าไปสักการะหลวงพ่อโสธรองค์จริงภายในอุโบสถหลังใหม่ เราจะพบการออกแบบพื้นที่ภายในที่แทบไม่ต่างเลยจากพิพิธภัณฑ์ การจัดวางกลุ่มพระพุทธรูปทั้งหมดที่โล่งโปร่งปราศจากองค์ประกอบในการประกอบพิธีกรรมที่อาจจะขัดขวางการมองเห็น พื้นที่กว้างขวางโดยรอบจนเราสามารถเดินดูองค์พระพุทธรูปทุกองค์ได้โดยแทบไม่มีอะไรบังสายตา ตลอดจนความสว่างที่ทำให้เราเห็นรายละเอียดพระพุทธรูปได้อย่างชัดเจนเหมือนของที่ตั้งในพิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงการทำรั้วกั้นเพื่อมิให้คนเดินเข้าไปสัมผัสองค์พระพุทธรูปได้โดยตรง ทั้งหมดนี้คือภาษาในการออกแบบจัดแสดง “วัตถุแห่งการอนุรักษ์” ภายในพิพิธภัณฑ์มากกว่าการเป็น “วัตถุแห่งศรัทธา” ภายในศาสนสถานตามโลกทัศน์แบบดั้งเดิมของสังคมไทย ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2565 คอลัมน์ : พื้นที่ระหว่างบรรทัด ผู้เขียน : ชาตรี ประกิตนนทการ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2565 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_556136 (https://www.matichonweekly.com/column/article_556136) หัวข้อ: หลวงพ่อโสธร : ระหว่างศรัทธากับการอนุรักษ์ (จบ) เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 14, 2022, 06:00:55 am (https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2022/05/ชาตรีใหม่-copy-4-696x363.jpg) หลวงพ่อโสธร : ระหว่างศรัทธากับการอนุรักษ์ (จบ) การอนุรักษ์หลวงพ่อโสธรครั้งใหญ่โดยการลอกทองคำเปลวที่พอกทับมายาวนานร่วมร้อยปีออก โดยกรมศิลปากร เมื่อราว พ.ศ.2552 ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์แห่งศรัทธาที่โต้กลับการอนุรักษ์ในครั้งนั้น (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) ของประชาชนในหลากหลายรูปแบบ การเกิดขึ้นของการสร้าง “หลวงพ่อโสธรหน้าโบราณ” เป็นหนึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวที่น่าสนใจ โครงการนี้ริเริ่มขึ้นราว พ.ศ.2556 โดย คุณวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความประสงค์จะจัดสร้างหลวงพ่อพุทธโสธรจำลองโดยให้มีใบหน้าเหมือนกับหลวงพ่อโสธรองค์เดิมในพระอุโบสถก่อนถูกบูรณะใน พ.ศ.2540 คุณวุฒิพงศ์ให้เหตุผลที่สำคัญข้อหนึ่ง (ในหลายๆ เหตุผลของการจัดสร้างครั้งนี้) ว่าเป็นเพราะ “ใบหน้าหลวงพ่อโสธรปัจจุบันไม่เหมือนเดิม” และได้อธิบายต่อมาว่า “…ผมจ้างช่างปั้นหน้าหลวงพ่อโสธรจากภาพโบราณมาสามปีแล้ว หน้าก็ยังไม่เหมือน ผมติมาจนกระทั่งหมดความรู้ที่จะติแล้ว จึงไปกราบหลวงพ่อโสธรขอให้เทวดาที่รู้เรื่องนี้ช่วย หลังจากนั้นกลายเป็นว่าผมต้องมานั่งปั้นหน้าหลวงพ่อเอง ซึ่งก็ไม่เคยปั้นมาก่อน…เวลาคิดไม่ได้ก็จะมีเสียงบอกว่า…ทำอย่างไรขึ้นมาในหัว…” (ดูบทสัมภาษณ์ใน https://www.thairath.co.th/horoscope/interesting/1085570 (https://www.thairath.co.th/horoscope/interesting/1085570)) @@@@@@@ สุดท้ายก็ปั้นหน้าหลวงพ่อโสธรสำเร็จในปลาย พ.ศ.2559 โดยปัจจุบันหลวงพ่อโสธรหน้าโบราณประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงพ่อโสธรจำลอง วัดเมือง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยผู้สร้างเน้นย้ำว่า หลวงพ่อโสธรองค์นี้มีใบหน้าที่เหมือนภาพเก่าโบราณที่ประชาชนกราบไหว้กันมากว่า 200 ปี นอกจากสร้างหลวงพ่อโสธรหน้าโบราณแล้ว ยังได้มีการจัดสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อโสธรหน้าโบราณ รุ่นอรหันต์ลานโพธิ์ ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2560 โดยมีการอธิบายว่า “…เน้นสัดส่วนและหน้าจริง ย่อเป็นพระบูชา พระกริ่งลอยองค์ และเหรียญ ทุกท่านที่มีไว้ครอบครองภูมิใจเถอะครับ ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่เสมือนจริงที่สุด…” (ดูใน https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_859187 (https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_859187)) ไม่เพียงแค่คุณวุฒิพงศ์ การให้ความสำคัญต่อใบหน้าโบราณของหลวงพ่อโสธรยังปรากฏให้เห็นจากพิธีกรรมในชีวิตประจำวันของผู้มีจิตศรัทธามากมายในหลากหลายพื้นที่ เช่น งานนมัสการพระพุทธโสธรประจำปีของจังหวัดฉะเชิงเทรา และงานพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพุทธโสธรขึ้นจากแม่น้ำบางปะกงหน้าวัดโสธรฯ ซึ่งองค์หลวงพ่อโสธรจำลองที่นำมาร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวต่างเป็นหลวงพ่อโสธรแบบใบหน้าโบราณทั้งสิ้น @@@@@@@ ผมเข้าใจดีว่า พิธีกรรมเหล่านี้อาจจะมิได้มีการคิดถึงเรื่องใบหน้าขององค์พระอย่างจริงจังแต่อย่างใด โดยอาจเป็นเพียงการอัญเชิญองค์ที่เคยใช้ประกอบพิธีกรรมมายาวนานหลายปี (ซึ่งใบหน้ายังเป็นแบบเดิม) เพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ หากหลวงพ่อโสธรองค์จริงที่มีใบหน้าใหม่หลังการลอกทองออกจนหมดแล้ว ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมหาศาล ผมเชื่อว่าจะต้องมีการเรียกร้องให้สร้างหลวงพ่อโสธรองค์จำลองที่มีใบหน้าใหม่ เพื่อมาใช้ประกอบพิธีกรรมประจำปีแทนไปนานแล้วอย่างแน่นอน แต่ที่ใบหน้าเดิมยังคงถูกใช้ประกอบพิธีโดยมิได้มีใครสนใจอะไร ย่อมสะท้อนความนิยมในใบหน้าเดิมได้เป็นอย่างดี หากยังติดใจว่า การเลือกหลวงพ่อโสธรจำลองหน้าโบราณเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ผมก็อยากชวนลองพิจารณากิจกรรมร่วมสมัยในหลายๆ แห่งที่เลือกนำหลวงพ่อโสธรมาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมดูว่าเจ้าของงานนิยมเลือกใบหน้าแบบไหน @@@@@@@ ขอยกตัวอย่างเดียวคืองาน “ไอคอนสยาม ไหว้พระสุขใจ หล่อเทียนไทยให้เรืองรอง” เมื่อ พ.ศ.2563 ที่มีการจัดกราบไหว้ขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 4 องค์จาก 4 ภาคของไทย โดยหลวงพ่อโสธรถูกเลือกมาเป็นหนึ่งในสี่ของพระพุทธรูปในงาน ซึ่งหลวงพ่อโสธรจำลองที่นำมาตั้งในงานก็คือแบบใบหน้าโบราณเช่นเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น หากเราลองสำรวจการสร้างวัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อโสธรในปัจจุบัน จะพบว่ารูปแบบที่มีใบหน้าโบราณจะได้รับความนิยมในการนำมาทำวัตถุมงคลมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่นับรวมภาพถ่ายเก่าของหลวงพ่อโสธรใบหน้าแบบโบราณก่อนการอนุรักษ์ก็ดูจะกลายเป็นที่ต้องการของตลาด มากกว่าใบหน้าใหม่อย่างเทียบกันไม่ได้ ความนิยมใบหน้าโบราณก่อนการอนุรักษ์ของกรมศิลปากรทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างมา กำลังบอกอะไรแก่เรา.? (https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2022/05/น.36-1.jpg) ผมอยากเสนอว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวกำลังสะท้อนช่องว่างระหว่างโลกทัศน์ของสิ่งที่เรียกว่า “การอนุรักษ์” กับ “ความศรัทธา” ในสังคมไทย คงไม่เกินเลยไปนักหากจะกล่าวว่า หลวงพ่อโสธรใบหน้าใหม่ หรือที่ถูกคือ ใบหน้าจริงแท้ดั้งเดิมเมื่อแรกสร้าง ได้กลายเป็นของที่แปลกปลอมทางความทรงจำสำหรับผู้คนโดยส่วนใหญ่ที่ศรัทธาในหลวงพ่อโสธร มีเพียงนักอนุรักษ์และนักวิชาการทางศิลปะเท่านั้นที่ดูจะมีความพอใจที่ได้เห็นใบหน้าเดิมแท้เมื่อแรกสร้างของหลวงพ่อโสธร หลายคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วปรากฏการณ์เดินสวนทางกันระหว่างการอนุรักษ์กับความศรัทธาที่ผมอธิบายมานั้น มันเสียหายอย่างไร จนถึงขนาดที่ผมจะต้องมาเขียนถึง แน่นอน ในหลายกรณีปรากฏการณ์นี้ก็มิได้สร้างความเสียหายอะไร แต่ในบางกรณี เช่นกรณีหลวงพ่อโสธร ผมคิดว่ามันได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นบางอย่าง หากใครได้มีโอกาสเดินทางไปวัดโสธรฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2561 เป็นต้นมา คงจะพบว่าได้มีการสร้างวิหารขนาดใหญ่หลังใหม่ขึ้นทางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ (ที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จริง) เพื่อประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จำลอง ที่มีใบหน้าแบบโบราณก่อนการอนุรักษ์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามากราบไหว้และประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ (ที่เคยทำได้กับองค์จริงมาก่อน) ไม่ว่าจะเป็นการรำแก้บน ปิดทอง ห่มผ้า จุดธูปเทียน ถวายไข่ต้ม ฯลฯ @@@@@@@ ผมอยากลองให้คิดอย่างจริงจังดูว่า วิหารหลังใหม่ที่ใช้งบประมาณมากถึง 125 ล้านบาท อาจไม่มีความจำเป็นเลยในการก่อสร้าง เพียงแค่กรมศิลปากรและผู้มีอำนาจตระหนักว่าแนวทางการอนุรักษ์โบราณวัตถุประเภทพระพุทธรูปที่ยังเต็มไปด้วยพิธีกรรมและความศรัทธาของผู้คนมหาศาล เช่น หลวงพ่อโสธร นั้นจำเป็นจะต้องมีรูปแบบและแนวทางที่แตกต่างออกไปจากการเก็บรักษาวัตถุในพิพิธภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยข้อห้ามนานัปการ อย่างไรก็ตาม ผมเองยังเห็นด้วยว่า เราจำเป็นต้องดูแลรักษาหลวงพ่อโสธรองค์จริงเป็นอย่างดี เพราะนี่คือโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ เพียงแต่แนวทางที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ภายใต้โลกทัศน์ว่าด้วยการอนุรักษ์ที่ไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและปฏิบัติการทางความเชื่อของผู้คนในสังคม ได้เข้ามาผลักไสและทำลาย (โดยไม่ตั้งใจ) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับหลวงพ่อโสธรองค์จริงลง จนส่งผลให้วัดและประชาชนผู้มีจิตศรัทธาต้องลงขันกันด้วยงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างวิหารหลังใหม่ขึ้น ทั้งๆ ที่พระอุโบสถหลังใหม่ (ที่ใช้งบประมาณก่อสร้างเกือบ 2,000 ล้านบาท) ก็มีพื้นที่ใช้สอยมากมายจนสามารถรองรับกิจกรรมทั้งหมดได้ภายในอาคารหลังเดียวอย่างสบาย ควรกล่าวไว้ก่อน แนวทางที่ต้องการจะผสานการอนุรักษ์ตามหลักสากลโดยยังคำนึงถึงความศรัทธาในบริบททางวัฒนธรรมของสังคมไทยนั้น มิได้เป็นแนวคิดที่เพิ่งเกิดแต่อย่างใด @@@@@@@ เมื่อหลายปีก่อน (เกือบ 20 ปีแล้วถ้าผมจำไม่ผิด) สมาคมอิโคโมสไทย (ICOMOS Thailand Association) มีแนวคิดที่จะผลักดันให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม” (Thailand Charter on Cultural Heritage Management) เพื่อเป็นการสร้างกติกาและแนวทางในการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมอย่างเหมาะสมเป็นไปตามมาตรฐานสากล และในขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับวัฒนธรรมของไทย ซึ่งได้มีการร่างกฎบัตรฯ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม ดูเสมือนว่าโครงการดังกล่าวจะไม่ได้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ในทัศนะผม กรณีหลวงพ่อโสธรเป็นเพียงตัวอย่างเดียวของความขัดแย้งในเชิงโลกทัศน์ดังกล่าว ยังมีกรณีแบบนี้อีกมากมายกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ หากเราไม่หันมาพิจารณาประเด็นนี้อย่างจริงจัง ก็จะทำให้ช่องหว่างระหว่าง “การอนุรักษ์” กับ “ความศรัทธา” ถ่างออกจากกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลให้เราสูญเสียมหาศาล ไม่เพียงแต่มิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังสูญเสียคุณค่าทางวัฒนธรรมบางอย่างที่เคยห่อหุ้มโบราณวัตถุเอาไว้ให้กลายเป็นเพียงอิฐหินปูนทรายที่มีค่าเพียงแค่ความสวยงามและเก่าแก่เท่านั้น ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มิถุนายน 2565 คอลัมน์ : พื้นที่ระหว่างบรรทัด ผู้เขียน : ชาตรี ประกิตนนทการ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2565 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_559139 (https://www.matichonweekly.com/column/article_559139) |