หัวข้อ: เหลือเชื่อ!!! แม่กับลูกบวชด้วยกัน สุดท้ายได้เสียกัน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2011, 12:12:58 pm ความโดยย่อ จากพระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
มารดาและบุตรออกบวชเป็นภิกษุณีภิกษุ คลุก คลีกันมาก ในที่สุด ลาสิขาออกมาอยู่ร่วมกันอย่างสามีภริยา พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ตรัสว่า รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ ของหญิงเป็นที่ตั้งแห่ง ความกำหนัด ความผูกพัน ยิ่งกว่าสิ่งอื่น ๆ. พระไตรปิฎฏ เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ ชื่ออังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ๕. มาตุปุตติกสูตร [๕๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล มารดาและบุตรสองคน คือ ภิกษุและภิกษุณี เข้าจำพรรษา ในพระนครสาวัตถี คนทั้งสองนั้นเป็นผู้ใคร่เห็นกันและกันเนืองๆ แม้มารดาก็เป็นผู้ใคร่เห็นบุตรเนืองๆ แม้บุตรก็เป็นผู้ใคร่เห็นมารดาเนืองๆ เพราะการเห็นกันเนืองๆ แห่งคนทั้งสองนั้น จึงมีความคลุกคลีกัน เมื่อมีความคลุกคลีกัน จึงมีการวิสาสะคุ้นเคยกัน เมื่อมีการวิสาสะกัน จึงมีช่อง คนทั้งสองนั้นมีจิตได้ช่อง ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำให้แจ้งซึ่งความทุรพล ได้เสพเมถุนธรรม ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมาก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาและบุตรสองคน คือ ภิกษุและภิกษุณีเข้าจำพรรษาในพระนครสาวัตถีนี้ คนสองคนนั้นเป็นผู้ใคร่เห็นกันและกันเนืองๆ แม้มารดาก็เป็นผู้ใคร่เห็นบุตรเนืองๆ แม้บุตรก็เป็นผู้ใคร่เห็นมารดาเนืองๆ เพราะการเห็นกันเนืองๆ แห่งคนทั้งสองนั้น จึงมีความคลุกคลีกัน เมื่อมีความคลุกคลีกัน จึงมีการวิสาสะกัน เมื่อมีการวิสาสะกัน จึงมีช่อง คนทั้งสองนั้นมีจิตได้ช่อง ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำให้แจ้งซึ่งความทุรพล ได้เสพเมถุนธรรม พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษนั้นย่อมสำคัญหรือหนอว่า มารดาย่อมไม่กำหนัดในบุตร ก็หรือบุตรย่อมไม่กำหนัดในมารดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่พิจารณาเห็นรูปอื่นแม้รูปเดียวซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา เป็นที่ตั้งแห่งความผูกพัน เป็นที่ตั้งแห่งความหมกมุ่น กระทำอันตรายแก่การบรรลุธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม เหมือนรูปหญิงนี้เลย สัตว์ทั้งหลายกำหนัด ยินดี ใฝ่ใจ หมกมุ่นพัวพัน ในรูปหญิง เป็นผู้อยู่ใต้อำนาจรูปหญิงย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่พิจารณาเห็นเสียงอื่นแม้เสียงเดียว ... กลิ่นอื่นแม้กลิ่นเดียว ... รสอื่นแม้รสเดียว ...โผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างเดียว ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา เป็นที่ตั้งแห่งความผูกพัน เป็นที่ตั้งแห่งความหมกมุ่น กระทำอันตรายแก่การบรรลุธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม เหมือนโผฏฐัพพะ แห่งหญิงนี้เลย สัตว์ทั้งหลายกำหนัด ยินดี ใฝ่ใจ หมกมุ่น พัวพัน ในโผฏฐัพพะแห่งหญิง ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย หญิงเดินอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี นอนหลับ แล้วก็ดี หัวเราะก็ดี พูดอยู่ก็ดี ขับร้องอยู่ก็ดี ร้องไห้อยู่ก็ดี บวมขึ้นก็ดี ตายแล้วก็ดี ย่อมครอบงำจิตของบุรุษได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อจะกล่าวสิ่งใดๆ พึงกล่าวโดยชอบว่าบ่วงรวบรัดแห่งมาร ก็พึงกล่าวมาตุคามนั่นแหละว่า เป็นบ่วงรวบรัดแห่งมาร โดยชอบได้ ฯ บุคคลพึงสนทนาด้วยเพชฌฆาตก็ดี ด้วยปีศาจก็ดี พึงถูกต้องอสรพิษที่กัดตายก็ดี ก็ไม่ร้ายแรงเหมือน สนทนาสองต่อสอง ด้วยมาตุคามเลย พวกหญิงย่อมผูกพัน ชายผู้ลุ่มหลงด้วย การมองดู การหัวเราะ การนุ่งห่มลับล่อ และการพูดอ่อนหวาน มาตุคามนี้ มิใช่ผูกพันเพียงเท่านี้ แม้บวมขึ้น ตายไปแล้ว ก็ยังผูกพันชายได้ กามคุณ ๕ นี้ คือ รูป เสียงกลิ่น รสและโผฏฐัพพะ อันเป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมปรากฏในรูปหญิง เหล่าชนผู้ถูกห้วงกามพัด ไม่กำหนดรู้กาม มุ่งคติในกาลและภพน้อยภพใหญ่ในสงสาร ส่วนชนเหล่าใดกำหนดรู้กามไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆเที่ยวไป ชนเหล่านั้นบรรลุถึงความสิ้นอาสวะ ย่อมข้ามฝั่งสงสารในโลกได้ ฯ จบสูตรที่ ๕ อ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๑๕๕๗ - ๑๖๐๒. หน้าที่ ๖๘ - ๖๙. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1557&Z=1602&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1557&Z=1602&pagebreak=0) ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=55 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=55) อรรถกถามาตุปุตติกสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยในมาตุปุตติกสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :- บทว่า ปริยาทาย ติฏฺฐติ ความว่า ย่อมครอบงำคือยึดเอา ได้แก่ให้ส่ายไปตั้งอยู่. บทว่า อุคฺฆานิตา ได้แก่ พองขึ้น. บทว่า อสิหตฺเถน ความว่า แม้กับผู้ถือเอาดาบมา หมายตัดศีรษะ. บทว่า ปิสาเจน ความว่าแม้กับยักษ์ที่มาหมายจะกิน. บทว่า อาสทฺเท แปลว่า พึงแตะต้อง. บทว่า มญฺชุนา แปลว่า อันอ่อนโยน. บทว่า กาโมฆวุฬิหานํ คือ อันโอฆะคือกามพัดพาไปคร่าไป. บทว่า กาลํ คตึ ภวาภวํ คือ ซึ่งคติและการมีบ่อยๆ ตลอดกาลแห่งวัฏฏะ. บทว่า ปุรกฺขตา คือ ให้เที่ยวไปข้างหน้า ได้แก่กระทำไว้เบื้องหน้า. บทว่า เย จ กาเม ปริญฺญาย ความว่า ชนเหล่าใดเป็นบัณฑิตกำหนดรู้กามแม้ทั้งสองอย่าง ด้วยปริญญา ๓. บทว่า จรนฺติ อกุโตภยา ความว่า ขึ้นชื่อว่าความมีภัยแต่ที่ไหนๆ ไม่มีแก่พระขีณาสพทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระขีณาสพเหล่านั้นจึงหาภัยมิได้แต่ที่ไหนๆ เที่ยวไป. บทว่า ปารคตา ความว่า นิพพานท่านเรียกว่าฝั่ง. อธิบายว่า เข้าถึงนิพพานนั้น คือการทำให้แจ้งแล้วดำรงอยู่. บทว่า อาสวกฺขยํ ได้แก่ พระอรหัต. ในสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัฏฏะเท่านั้น ในคาถาทั้งหลายตรัสทั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะ. จบอรรถกถามาตุปุตติกสูตรที่ ๕ ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=55 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=55) หัวข้อ: Re: เหลือเชื่อ!!! แม่กับลูกบวชด้วยกัน สุดท้ายได้เสียกัน เริ่มหัวข้อโดย: เสกสรรค์ ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2011, 01:30:36 pm อ้างถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย หญิงเดินอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี นอนหลับ ประทับใจตรงจุดนี้ครับ ที่พระพุทธองค์ ทรงเปรียบไว้ แต่ บวมขึ้นก็ดี ตายแล้วก็ดี จะครอบงำจิตของบุรุษได้อย่างไร อันนี้ไม่เข้าใจจริง ผมลองนึกภาพตามว่า ศพบวมเปล่งด้วยน้ำเหลือง มีอะไรที่น่าประทับใจครับ หรือมีความนัยอยู่ใน พระดำรัสตรงนี้ อยากให้พิจารณา อรรถกถาเพิ่มเติมกันหน่อยได้หรือไม่ครับ :25: หัวข้อ: Re: เหลือเชื่อ!!! แม่กับลูกบวชด้วยกัน สุดท้ายได้เสียกัน เริ่มหัวข้อโดย: Mario ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2011, 06:15:07 am เป็นเรื่องเหลือเชื่อ จริง ที่เกิดในขณะพระพุทธเจ้า ยังอยู่และเกิดในหมู่สงฆ์
:character0029: หัวข้อ: Re: เหลือเชื่อ!!! แม่กับลูกบวชด้วยกัน สุดท้ายได้เสียกัน เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มีนาคม 02, 2011, 01:47:32 pm พวกหญิงย่อมผูกพัน ชายผู้ลุ่มหลงด้วย การมองดู การหัวเราะ การนุ่งห่มลับล่อ และการพูดอ่อนหวาน (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRZffp3-QbdxmPDbehzjvXEaoc4PzG5Cih9eb7Rkk9bsUDahWe5) (http://www.siamphotography.com/_album/2008/12/1230480200-151-156s.JPG) หญิงสยาย...ชายปลง สรวยเกล้าในส่วนเส้น เกศา เห็นซ่านใจปรุงหา อยากใกล้ แท้หาสุขนำพา ทุกข์มอบ จรดขาดเยื่อใยให้ ห่างร้างยินดี. ธรรมธวัช.! |