หัวข้อ: เทคนิคหาสติ เมื่อเกิดทุกข์ บริหารความโกรธด้วย “จิตวิทยาแนวพุทธ” เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 21, 2022, 06:15:19 am (https://img.pptvhd36.com/health/thumbor/2022/09/17/cusArticle-d5af4632cc.jpg) เทคนิคหาสติ เมื่อเกิดทุกข์ บริหารความโกรธด้วย “จิตวิทยาแนวพุทธ” ความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นได้กับมนุษย์เป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นเราจะบริหารความโกรธได้อย่างไร ตามศาสตร์ ธรรมะและจิตวิทยา “ธรรมะและจิตวิทยาไม่ได้บอกให้หนีปัญหา แต่บอกให้เราแก้ปัญหาเมื่อเรามีสติ” ประโยคบางช่วงบางตอนของคุณอ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ ศิลปิน และนักจัดรายการวิทยุชื่อดังได้แชร์ประสบการณ์การทำงาน ในรายการ Coffee Club เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กันยนยน 2565 ที่ด้วยอาชีพนักจัดรายการกว่า 20 ปี ต้องเป็นทั้งผู้ถาม ผู้ฟัง และ ผู้ตอบ จึงต้องเรียนรู้โลกของธรรมะ และ เรียนรู้อารมณ์และความรู้สึกจากจิตวิทยา @@@@@@@ ธรรมะและจิตวิทยาเป็นศาสตร์ ที่ยอมรับไปทั่วโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย ดร.ไลน์ฮัน ได้ตีพิมพ์รายงานการวิจัยที่ค้นพบว่า นักจิตบำบัดซึ่งนำ การทำสมาธิแบบเซนที่เรียกว่า “การยอมรับความจริง” มาใช้รักษาคนไข้ ช่วยให้ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และพยายามฆ่าตัวตาย ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ และยืนยันว่า คนไข้ที่อยู่ในภาวะทุกข์ใจอย่างรุนแรง คือผู้ที่เหมาะสม ที่สุดที่จะใช้การทำสมาธิบำบัดรักษา ขณะที่ทีมนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง รวมทั้ง ดร.ซีกัล, เจ มาร์ค จี วิลเลียมส์ แห่งมหาวิทยาลัยเวลส์ และจอห์น ดี ทีสเดล แห่งสภาวิจัยทางการแพทย์ในอังกฤษ ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ค้นพบว่า การทำสมาธินาน 8 สัปดาห์ ช่วยลดอัตราการ กำเริบของโรคในคนไข้ที่มีอาการซึมเศร้า 3 ครั้งหรือมากกว่า ได้ถึงครึ่งหนึ่งทีเดียว ด้านนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเนวาดา เมืองรีโน ได้พัฒนาการบำบัดรักษาคนไข้ด้วยการพูดคุยเรียกว่า “การบำบัดด้วยการยอมรับ” โดยมีพื้นฐานมาจากพุทธศาสนา "มันเป็นการเปลี่ยนจากการให้คำนิยาม สุขภาพจิตของเราว่าขึ้นอยู่กับความคิด เป็นการขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของเราที่มีต่อความคิดนั้น และเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยานั้นด้วยการปฏิบัติสมาธิ" บรรดานักจิตบำบัดซึ่งนำการทำสมาธิมาใช้รักษาคนไข้ เชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ให้ ผลมากที่สุด โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีปัญหาด้านอารมณ์ระดับปานกลาง @@@@@@@ ความหมายของจิตวิทยาแนวพุทธจิตวิทยาแนวพุทธ คือการนำศาสตร์ที่ศึกษาถึงจิตใจ และกระบวนการทางจิตใจคือจิตวิทยา มาอธิบายกระบวนการการเกิดทุกข์และการพ้นทุกข์ อันเป็นสาระสำคัญของพุทธศาสนานั้นเอง ความแตกต่างระหว่างจิตวิทยาแนวพุทธ จิตวิทยาทั่วไป และพุทธศาสนา - จิตวิทยาทั่วไป หมายถึง การศึกษาพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน และสังเกตเห็นได้โดยทางอ้อม ตลอดจนการศึกษากระบวนการทำงานของจิตเพื่อการปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ แต่ไม่ได้มีเป้าหมายให้พ้นทุกข์อย่างถาวร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของจิตวิทยาแนวพุทธ - พุทธศาสนา รวมความถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างขวาง ทั้งยังรวมไปถึงความเชื่อถือ และการประพฤติปฏิบัติของชาวพุทธด้วย - จิตวิทยาแนวพุทธ จะนำบางส่วนของพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่วนแก่นกลางที่กล่าวถึงความทุกข์ทางใจ กระบวนการเกิดและดับของความทุกข์ทางใจ โดยอาศัยคำอธิบายของกระบวนการทางจิตใจที่ใช้กันอยู่ในจิตวิทยามาประยุกต์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจสำหรับคนในยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับจิตวิทยา (https://img.pptvhd36.com/health/thumbor/2022/09/17/639d3af0d5.jpg) ความหมายของคำว่า “สุข” และ“ทุกข์” ทางใจ ถ้าถามว่า ความสุข หมายถึงอะไร เราก็อาจตอบได้ว่า ความสุข หมายถึง การที่เราได้รับความพึงพอใจ ความสมหวังจากสิ่งต่างๆ รอบด้าน ซึ่งเป็นความรู้สึกไม่เหมือนกัน บางคนสุขเพราะได้อยู่กับคนที่รักหรือถูกใจ,ได้ทำงานที่ถูกใจ,สุขจากการได้ทำบุญหรือแม้แต่แค่เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานก็เป็นสุขแล้ว ขณะที่ความทุกข์ หมายถึงสิ่งที่เราได้รับไม่เป็นที่พึงพอใจของเรา หรือเราสูญเสียสิ่งที่เราไม่อยากให้เสียไป เนื่องจากความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนา และพยามหลีกเลี่ยง จึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญของการศึกษาและเอาชนะไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยาหรือศาสนาต่าง ๆ เช่น ความกลัว,ความวิตกกังวล,ความรู้สึกผิด,ละอายใจ,ความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นต้น ความทุกข์นี้เกิดจากการปรับตัวไม่ได้ หรือเสียสมดุลโดยอาจเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น ความแปรปรวนในความคิดหรือภาวะอารมณ์ของเราเอง และหรือปัจจัยภายนอกมาทำให้เกิดความคิดและความรู้สึกที่เป็นทุกข์ เช่น การสูญเสียสิ่งรัก การประสบความผิดหวัง การเผชิญภาวะวิกฤติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน อาชีพ การทำงาน ครอบครัว ความยุ่งยากเหล่านี้อาจเป็นภาวะชั่วคราวของการปรับตัว หรือกระทั่งกลายเป็นความผิดปกติทางจิตใจ การศึกษาในปัจจุบันพบว่า แต่ละบุคคลมีความอ่อนไหวภายในตนเองที่จะเกิดความคิดทางลบ และความรู้สึกเครียด จนทำให้เกิดความทุกข์ใจได้ต่างๆ กัน เพราะสาเหตุในด้าน - ความคิดทางลบ - ปมในจิตใจที่สะสมมาจากวัยเด็ก - ประสบการณ์ในตลอดชีวิต @@@@@@@ การจัดการกับอารมณ์ โดยใช้เทคนิคการผ่อนคลายวิธีต่างๆ ในการคลายเครียด - ฝึกการหายใจที่ถูกต้อง การหายใจที่ถูกต้องจะได้ปริมาณออกซิเจนเหมาะสมเพียงพอต่อความผ่อนคลายของร่างกาย ทำได้โดยหลับตาลงเบาๆ หายใจเข้าออกลึกๆช้าๆสัก 5-10 นาที เทคนิคคือเมื่อหายใจเข้าช้าๆจนท้องป่องแล้วก็กลั้นไว้สักครู่โดยการนับ 1-5 ตามจังหวะวินาทีแล้วค่อยๆระบายลมหายใจออกมาช้าๆทางจมูกหรือทางปากก็ได้ตามสะดวก การหายใจที่ถูกต้องจะช่วยการเต้นของหัวใจให้ช้าลงและกล้ามเนื้อคลายตัว ซึ่งร่างกายจะส่งสัญญาณความสบายนี้ไปสมองทำให้อารมณ์เย็นลง - การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการยืดหดเบาๆส่วนต่างๆของร่างกายไม่ให้เกิดความตึงเครียดทำได้หลายวิธีเช่นออกกำลังหรือเล่นกีฬาเบาๆ เดินเร็วๆ ทำให้ endorphins ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้สงบและมีความสุขหลั่งออกมา - การจินตนาการ สั้นๆเรื่องที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเพื่อได้เปลี่ยนสภาวะจากความเครียดมาให้ได้มีความสุขระยะหนึ่ง เพื่อให้ความรู้สึกนั้นมันออกจากตัวเรา และเกิดอารมณ์ทางบวกในลักษณะของความสงบและผ่อนคลายเข้ามาแทนที่ ตัวอย่าง เมื่อเกิดมหัตภัยพิบัติ ผู้ที่สูญเสีย เกิดความทุกข์ใจเพราะมองแต่ด้านที่ตนสูญเสียไป ก็ปรับเปลี่ยน วิธีคิดเสียใหม่ว่าตนยังมีอะไรเหลืออยู่บ้าง เช่น มีเวลาให้กับตนเองและครอบครัวเพิ่มขึ้น หรือเหตุการณ์นั้นทำให้ เราได้เรียนรู้ที่จะนำมาเป็นบทเรียน เพื่อจะปรับปรุงสิ่งบกพร่องต่อไปหรือความโกรธในขณะที่เราไม่มีสติ อาจทำให้ไม่มีใครได้รับประโยชน์เลยแต่เมื่อเราตั้งสติได้และเลือกที่จะจัดการปัญหานั้นในตอนที่มีสติแล้ว จะไม่ทำให้ใครได้รับบาดเจ็บ แม้แต่ตัวเอง @@@@@@@ การพัฒนาตนเองแนวจิตวิทยาทั้ง 2 วิธีการนั้น สามารถช่วยบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้น ให้มีความคิด ความรู้สึกที่บรรเทาเบาบางได้ แต่ไม่ใช้วิธีที่ดับทุกข์ เพราะยังไม่ได้เน้นให้หยั่งรู้ถึงความเป็นจริงว่าสิ่งใดก็ตามเมื่อมันเกิดก็ต้องมีดับไป จนสามารถปล่อยวางทั้งในเรื่องนั้นและเรื่องอื่น ๆ ได้ ขอขอบคุณ :- ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย website : https://www.pptvhd36.com/health/how-to/1850 (https://www.pptvhd36.com/health/how-to/1850) เผยแพร่ : 17 ก.ย. 2565 |