สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 11, 2022, 05:52:22 am



หัวข้อ: วัดภูมินทร์ เมืองน่าน | พระอุโบสถ-พระวิหารทรงจตุรมุข หลังแรกของไทย
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 11, 2022, 05:52:22 am

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798601.JPEG)


วัดภูมินทร์ เมืองน่าน | พระอุโบสถ-พระวิหารทรงจตุรมุข หลังแรกของไทย | ยลจิตรกรรมกระซิบรักบันลือโลก

มาเยือนเมืองน่าน แล้วไม่ได้แวะมา “วัดภูมินทร์” ก็เสมือนยังมาไม่ถึงจังหวัดน่าน คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะวัดเก่าแก่อายุกว่า 400 ปีแห่งนี้ นับเป็นหนึ่งในวัดคู่บ้านคู่เมือง เป็นโบราณสถานที่วิจิตรงามหาชมได้ยาก

โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถ-พระวิหารที่มีงานจิตรกรรม “กระซิบรัก” ภาพเขียนของชายหญิงยืนกระซิบกระซาบซึ่งภาพดังกล่าว ได้ถูกนำไปผลิตซ้ำดัดแปลงสร้างสรรค์ไปอีกหลากหลายรูปแบบ จนกลายเป็นภาพแทนสัญลักษณ์แห่งเมืองน่านที่สามารถพบเจอได้แทบทั้งจังหวัด


(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798602.JPEG)

มีบันทึกประวัติการสร้างวัดตามพงศาวดารเมืองน่านไว้ว่า “พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์" เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 40 ได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2139 โดยชื่อวัดมีที่มาปรากฏในหลักฐานคัมภีร์เมืองเหนือว่าแต่เดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์” สอดคล้องตามชื่อของพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ แต่สันนิษฐานว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปก็คงมีการเรียกชื่อเพี้ยนกลายมาเป็น “วัดภูมินทร์” อย่างในปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2523 วัดภูมินทร์ก็ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798603.JPEG)

ภาพแรกของอาคารที่ปรากฏต่อสายตาผู้มาเยือนวัดนั้น ถือเป็นโบราณสถานสำคัญ คือ “พระอุโบสถกับพระวิหาร" ซึ่งเป็นอาคารหลังเดียวกันนั่นเอง สถาปัตยกรรมฉายความโดดเด่นหาชมได้ยากด้วยรูปแบบทรงจตุรมุข เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ด้าน ผังเป็นรูปกากบาท ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมจากอานันทเจดีย์ที่เมืองพุกาม ประเทศเมียนมา และสันนิษฐานว่าสถาปัตยกรรมลักษณะนี้น่าจะสร้างขึ้นเป็นหลังแรกของประเทศไทย

ความวิจิตรภายนอก ที่ผู้มาเยือนเห็นได้จากด้านหน้าประตูอุโบสถทางด้านทิศเหนือ มีรูปปั้นพญานาคสองตน ทอดยาวขนาบข้างบันไดทั้ง 2 ฝั่ง รับไปกับอาคารพระอุโบสถกับพระวิหาร คล้ายเอาหลังหนุนไว้ เรียกว่า นาคสะดุ้ง ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างที่มาจากความเชื่อว่าพญานาคเป็นสัตว์มงคลที่คอยเกื้อหนุนพระพุทธศาสนา ดังตำนานว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระองค์ได้เสด็จผ่านบันไดแก้วที่เทวดาเนรมิตขึ้น และมีพญานาค 2 ตัวหนุนหลังเอาไว้

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798604.JPEG)

บันไดพญานาคของวัด มีช่องทรงโค้งทั้ง 2 ด้าน บริเวณกลางลำตัวสร้างเป็นซุ้มประตูโค้งสามารถเดินลอดได้ จึงมีเรื่องเล่าจากคนเก่าแก่ว่า หากคู่รักได้มาเดินลอดซุ้มโค้งพญานาควนตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ ความรักก็จะมั่นคงยืนยาวสมหวัง บ้างก็เชื่อในเรื่องสุขภาพ และยังเชื่อว่าหากคนต่างถิ่นมาลอดแล้วจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนเมืองน่านอีก

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798605.JPEG)

ทางเข้าพระอุโบสถ-พระวิหาร ทั้ง 4 ด้านมีประตูไม้แกะสลักโดยฝีมือของช่างล้านนา เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน จะพบว่าโครงสร้างของอาคารและหลังคานั้นค้ำด้วยเสาไม้สักขนาดใหญ่ 12 ต้น ลงรักปิดทองเคลือบเงาเป็นลายพฤกษาและช้างสีทองงดงาม และพบกับความตระการตาแสนวิจิตร คือ “พระพุทธมหาพรหมอุดมศักยมุนี” หรือ “พระประธานจตุรพักตร์” พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยปางมารวิชัย สีทองอร่าม 4 องค์ ประทับนั่งบนฐานชุกชี หันพระพักตร์ออกไปสู่ประตูทั้ง 4 ทิศ และหันเบื้องพระปฤษฎางค์ (หลัง) เข้าหากันตรงกลางของพระอุโบสถ ดังนั้น ไม่ว่าจะก้าวเข้ามาจากประตูพระอุโบสถ-พระวิหารจากฝั่งใด ก็ได้เห็นพระพุทธรูปองค์ประธานเสมอ

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798606.JPEG)

ในช่วงสมัย “พระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช” เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ-พระวิหาร ใช้เวลาในการบูรณะยาวนานกว่า 8 ปี (ช่วงปี พ.ศ. 2410-2417) ซึ่งหลังจากนั้นจึงมีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเกิดขึ้น สันนิษฐานว่า วาดในสมัย “พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช” เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798607.JPEG)

โดยผู้อยู่เบื้องหลังงานจิตรกรรมดังกล่าว คือ "หนานบัวผัน" หรือ ทิดบัวผัน จิตรกรเชื้อสายไทลื้อชาวน่าน ที่มีฝีมือการวาดที่เป็นเลิศ ทันสมัยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นสีแดง ฟ้า ดำ และน้ำตาลเข้ม ซึ่ง “อาจารย์วินัย ปราบริปู” ศิลปินและนักวิชาการศิลปะแห่งหอศิลป์ริมน่าน ค้นคว้าข้อมูลไว้ว่า จิตรกรรมของหนานบัวผันที่วัดภูมินทร์นั้น น่าจะเขียนขึ้นในช่วง ปี พ.ศ. 2443 หรือ 2446 ภายหลังจากที่เคยวาดจิตรกรรมฝาผนังที่วัดหนองบัว ในอำเภอท่าวังผา

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798608.JPEG)

จิตรกรรมภายในวัดภูมินทร์นั้น งดงามด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ วาดเรื่องราวของพุทธชาดก ตำนานพื้นบ้าน และวิถีความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต แต่สำหรับจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุด ต้องยกให้กับภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” หรือ “ปู่ม่านย่าม่าน” ภาพที่ชายหญิงคู่หนึ่งจับไหล่ป้องมือคล้ายกระซิบกระซาบกัน ส่งสายตากรุ้มกริ่มแสดงสีหน้าผ่านลายเส้นได้อย่างน่าอัศรรย์ ปู่ม่านย่าม่านนั้น มิได้หมายถึงคนเฒ่าคนแก่ หากแต่เป็นคำเรียกแทนชายหญิงที่พ้นวัยเด็กไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับกิริยาในภาพเพราะการถูกเนื้อต้องตัวกันในสมัยก่อน ต้องเป็นคู่รักสามีภรรยากัน

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798609.JPEG)

ภาพกระซิบรักบันลือโลกที่วัดภูมินทร์ ถือเป็นงานศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์คู่เมืองน่าน ซึ่งด้วยความมีชื่อเสียงในเชิงความงามด้านศิลปะไม่ใช่ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการผลิตซ้ำ แปรรูป ดัดแปลง เติมแต่งความคิดสร้างสรรค์ต่างๆไปอย่างหลากหลายในเชิงพาณิชย์ สามารถพบเจอได้แทบทั้งจังหวัดน่าน และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นเมืองน่านได้แบบไม่ซ้ำที่ใดในโลก

(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/565000010798610.JPEG)




Thank to : https://mgronline.com/travel/detail/9650000106350
เผยแพร่ : 9 พ.ย. 2565 07:58 ,ปรับปรุง : 9 พ.ย. 2565 07:58 ,โดย : ผู้จัดการออนไลน์